ยังไม่อาจรับรู้ได้ว่า...งานเฉลิมฉลองพิธีการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ของ “ผู้เฒ่าโจ” ในช่วงวันพุธที่ 20 ม.ค.ของบ้านเรา หรือหัวเช้าของวันพฤหัสฯ ที่ 21 ม.ค.ของอเมริกา จะมีใครอุตริเอา “ระเบิดปิงปอง” ไปปาใส่ หรือจะเอา “อาหารหมา” ไปหว่าน ไปโปรย ให้เป็นที่เปรี้ยวเท้า เปรี้ยวตีน ของใครต่อใครหรือไม่? อย่างไร? แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...งานนี้น่าจะออกไปทางทั้ง “กร่อย” และทั้ง “เกร็ง” อยู่พอสมควร...
คืออย่างน้อย...ตลอดทั่วทั้งสถานที่จัดงาน จัดพิธีอย่างกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.แทบจะกลายเป็น “เมืองร้าง” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องปิดถนนสายโน้น สายนี้ ภายใต้การประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน” ไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นพิธีการอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ต้องขนเอาหน่วย “เนชั่นแนล การ์ด” นับเป็นหมื่นๆ ใส่ชุดพราง พร้อมอาวุธครบมือ กระจายออกตรวจตราและประจำการกันในจุดต่างๆ เพื่อป้องกันและดูแลความสงบเรียบร้อยเอาไว้ก่อนล่วงหน้า แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...ก็ยังมิวายก่อให้เกิดอาการทาง “ประสาท” สำหรับนักการเมืองฝ่ายที่กำลังจะเข้ามาเป็นรัฐบาล อย่าง “นายSteve Cohen” แห่งพรรคเดโมแครต ที่ออกอาการ “เสียวสยอง” ต่อบรรดาเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ จำนวนนับเป็นพันๆ หมื่นๆ ที่ว่ากันว่า...มีแนวโน้มที่จะหนักไปทาง “ทหารแตงโม” หรือ “ตำรวจมะเขือเทศ” อย่างบ้านเรายุคก่อนๆ กันเป็นจำนวนไม่น้อย...
หรือว่ากันว่า...ในจำนวนหน่วย “เนชั่นแนล การ์ด” ที่เป็นชายชาติทหารกันถึง 90 เปอร์เซ็นต์นั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ที่มีรสนิยมทางการเมือง หนักไปทางพวกสนับสนุนประธานาธิบดีคนก่อน อย่าง “ทรัมป์บ้า” นั่นแหละเป็นหลัก หรือน่าจะมีเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ที่เทคะแนนเสียงให้กับ “ผู้เฒ่าโจ” ในการผงาดขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคราวนี้ การหันไปไล่บด ไล่บี้ หน่วยงานความมั่นคงอย่าง FBI และกองทัพ ให้สำรวจตรวจสอบโดยละเอียด ถึงภูมิหลัง ถึงที่มา-ที่ไปของบุคคลเหล่านี้ จึงมีความจำเป็นเอามากๆ เพราะในประเทศเสรีประชาธิปไตยอย่างคุณพ่ออเมริกานั้น คงมิอาจปฏิเสธได้ว่า...มักเกิดการลอบฆ่า ลอบสังหารผู้ประเทศอย่างชนิดขึ้นชื่อลือชามาโดยตลอด ไม่ว่าตั้งแต่ยุค “ลินคอล์น” “เคนเนดี” ไปจนถึง “เรแกน” ฯลฯ ก็ตาม การถือปืน ถืออาวุธอยู่ตามจุดตรวจต่างๆ ของหน่วย “เนชั่นแนล การ์ด” คราวนี้ จึงใช่ว่าจะก่อให้เกิดความอุ่นอก อุ่นใจต่อการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ “ผู้เฒ่าโจ” ล้วนๆ ก็หาไม่ แต่กลับก่อให้เกิดความขนลุก ขนพอง ต่อนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลอย่าง “นายSteve Cohen” อยู่พอสมควร จนเห็นว่า...ต้องออกคำสั่งโยกย้ายเจ้าหน้าที่หน่วยดังกล่าว ไปแล้ว 2 รายเป็นอย่างน้อย...
แถมความหวาดระแวงแคลงใจในเรื่องราวเหล่านี้...ยังลุกลามบานปลายไปสู่การเมืองระหว่างประเทศอีกจนได้ โดยเฉพาะเมื่อรายงานล่าสุดของหน่วยงาน FBI เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (17 ม.ค.) ผ่านมา พบว่าได้มีการส่งเงินช่วยเหลือสนับสนุนจากนอกประเทศ ให้กับบรรดากลุ่มมวลชนฝ่ายขวา หรือฝ่ายที่สนับสนุน “ทรัมป์บ้า” ในการ “บุกรัฐสภา” เมื่อช่วงวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมาเป็นเงิน “Bitcoin” จำนวนประมาณ 28.15 BTC หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 522,200 ดอลลาร์ จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส โดยยังมิอาจรับรู้ได้ว่า...เป็นฝีมือของผู้ซึ่งอยากให้ประชาธิปไตยแบบอเมริกาเจ๊งแล้วเจ๊งอีก อย่างจีน-รัสเซีย-หรืออิหร่าน ฯลฯ กันแน่!!! แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ย่อมส่งผลให้ความพยายามที่จะสร้างความเป็นเอกภาพ ความสมานฉันท์แห่งชาติ อันถือเป็นภาระเร่งด่วนที่สุดของว่าที่ประธานาธิบดีรายใหม่อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ออกจะเป็นอะไรที่ยากเย็น แสนเข็ญมิใช่น้อย เผลอๆ...อาจหนักซะยิ่งกว่าคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ หรือคณะกรรมการปรองดองของบ้านเรา ที่ผ่านการดองแล้ว ดองอีก มาไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบปี ก็ยังไปไม่ถึงไหนจนตราบเท่าทุกวันนี้...
แต่อย่างที่อภิมหานักปรัชญาทางการเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ศาสตราจารย์ “นอม” หรือ “โนม” ชอมสกี (Noam Chomsky) ท่านเคยออกมากล่าวย้ำเอาไว้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า แม้แต่ครั้งล่าสุดเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ประชาธิปไตยอเมริกานั้น ไม่ได้มีความเป็น “Democracy” แต่อย่างใด แต่หนักไปทาง “Plutocracy” ซะล่ะมากกว่า หรือเป็นการปกครองในระบอบ “เศรษฐยาธิปไตย” การปกครองโดยเศรษฐี นายทุน อันเป็นแค่คนส่วนน้อยประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง หรือเป็นประชาธิปไตยในลักษณะพิเศษ ลักษณะเฉพาะของสังคมอเมริกันเขานั่นแหละ คือระบอบปกครอง “ของพ่อค้า-โดยพ่อค้า-และเพื่อพ่อค้า” ซะเป็นหลัก การสร้างความเป็นเอกภาพ หรือความสมานฉันท์แห่งชาติภายในสังคมอเมริกัน จึงเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์แสนยากส์ส์ส์ ไม่ว่า “ผู้เฒ่าโจ” ท่านจะรับประทานไวอากร้า หรือฉีดสเตียรอยด์ เข้าไปสักกี่เข็ม กี่หลอด ก็ตาม แต่โอกาสที่จะ “โด่มิรู้ล้ม” หรือ “บิ๊กตู่มิรู้ล้ม” อยู่ยาวว์ว์ว์ได้แบบ 7 ปี 8 ปีอย่างบ้านเรานั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...
อีกทั้งการแก้ปัญหา “การเมืองภายใน” อเมริกานั้น...ออกจะมีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับ “การเมืองภายนอก” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ เพราะด้วยพลังอำนาจทางการเมือง การทหาร ในระดับที่ถือเป็น “จ้าวโลก” หรือ “ประมุขโลก” มาโดยตลอด จึงทำให้แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องถูกชี้วัด ตัดสิน ไปตาม “มาตรฐานอเมริกัน” แม้จะหนักไปทาง “โถส้วม” หรือ “American Standard” เพียงใดก็ตามที อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้การหาทางออก ทางรอด และทางไปของรัฐบาลอเมริกันภายใต้การบริหารจัดการ ของว่าที่ประธานาธิบดีรายใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” รวมทั้งรองประธานาธิบดี “กมลา แฮร์ริส” น่าจะเหลืออยู่เพียงแค่ 2 ทางเท่านั้น ไม่ว่าบรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ กูรูและกูรู้ ท่านจะวิเคราะห์ สังเคราะห์ในรายละเอียดออกมาในแนวไหนก็ตาม...
นั่นก็คือ...ทางแรก หนีไม่พ้นต้องหันมาให้ “ความยอมรับ” ในการอยู่ร่วมกันโดยสันติ กับบรรดาประเทศมหาอำนาจคู่แข่งรายต่างๆ ไม่ว่าจีน รัสเซีย ตลอดไปจนถึงอิหร่านโน่นเลย หรือต้องยอมรับภาพความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ซึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นมานานแล้ว และเริ่มเป็นจริง เป็นจัง เป็นระบบยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เผลอๆ...อาจหนัก อาจเอียง มาทางแถบ “เอเชีย” หรือกลายไปเป็น “ศตวรรษแห่งเอเชีย” อย่างมิอาจปฏิเสธ ตามการจัดลำดับความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในช่วงปี ค.ศ. 2030 ที่มีแต่บรรดาประเทศในเอเชียเท่านั้น ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น และอินตะระเดีย ที่ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 อันดับ 2 อันดับ 3 ไปตามลำดับ ขณะที่ความเป็นตะวันตก ยิ่งออกอาการ “Westlessness” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
ส่วนอีกทางหนึ่ง...ก็คือการหวนกลับไปใช้ “จุดแข็ง” ของความเป็น “ลัทธิจักรวรรดินิยม” นับตั้งแต่ครั้งอดีต เหมือนอย่างบรรดาประเทศจักรวรรดินิยมต่างๆ ที่ต่างได้สูญหายสาบสูญกันไปหมดแล้ว ไม่ว่าตั้งแต่กรีก โรมัน ยันมาถึงผู้ดีอังกฤษรายล่าสุด คือต้องหันไปใช้ “พลังอำนาจทางทหาร” มาเป็นเครื่องมือในการกดดัน ต่อรอง หรือกระทั่งขั้นปะทะ แตกหัก อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้โดยอาศัย “ศัตรูภายนอก” เป็นตัวหลอมรวมให้เกิด “เอกภาพ” ขึ้นมาในสังคมภายใน ซึ่งแน่นอนนั่นแหละว่า...ย่อมหนีไม่พ้นไปจากคุณพี่จีน หรือคุณน้ารัสเซีย นั่นแหละเป็นหลัก อันอาจพอช่วยให้เกิดขีดความสามารถ ในการดำรงรักษาความเป็น “ประมุขโลก” ให้ยืนยง คงทนได้อีกต่อไป ตาม “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” ที่ไม่ว่าพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ต่างยึดถือเป็น “สรณะ” ไปด้วยกันทั้งสิ้น นั่นก็คือการเป็นประเทศที่มิอาจเปิดโอกาสให้ใครก็ตามขึ้นมาทัดเทียม เทียบเคียงได้โดยเด็ดขาด!!! ดังนั้น...ไม่ว่าการขึ้นสู่อำนาจของประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีรายใหม่คราวนี้ จะผ่านไปด้วยความราบรื่น หรือไม่ เพียงใดก็ตาม แต่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกานับแต่นี้ไป เหลือเพียงแค่หนทาง 2 ทางเท่านั้น ที่อาจพอช่วยให้ยังสามารถประคับประคองตัวเอง มิให้ต้องมีอัน “ล่มสลาย” ลงไปก่อนกำหนดการ...