ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ “วัคซีน” ที่เอาไว้ใช้ต่อสู้ ต่อต้าน การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัส “COVID-19”ภายในโลกใบนี้ โดยเฉพาะในช่วงระยะนี้...มันชักจะมีเยอะแยะ มากมาย ชนิดนับนิ้วแทบไม่หวาด-ไม่ไหว หรือเป็นเพราะผู้คนในโลกใบนี้ ออกจะเป็นอะไรที่ “เยอะ”ไม่ว่าในแง่ปริมาณ หรือคุณภาพ คือนอกจากปาเข้าไปใกล้ๆ หมื่นล้าน ยังแถมถูกทำให้ผิดแผกแตกต่างกันในเรื่องความคิด-ความอ่าน แบบชนิดคนละเรื่อง-คนละม้วนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น...แม้ว่าการมี-ไม่มีวัคซีน อาจไม่ถึงกับยุ่งยากลำบากความอีกต่อไป แต่การฉีด-ไม่ฉีดวัคซีนนี่แหละ กลับกลายเป็น “ปัญหา” ที่ก่อให้เกิดความ “บวดหัว” ชนิดยา “บวดหาย”ชักจะเอาไม่อยู่ยิ่งเข้าไปทุกที!!!
คือคงต้องยอมรับนั่นแหละว่า...ภายใต้ความมุ่งมั่นพยายาม เพื่อที่จะเอาชนะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสล้างโลก อย่างเชื้อ “COVID-19” ให้จงได้ อันอาจหนีไม่พ้นต้องผสมผสานไปกับการชิงดี ชิงเด่น ความพยายามที่จะเอาชนะคะคานกันในเวทีโลกไม่ว่าด้านการเมือง เศรษฐกิจ ไปจนถึง “สุขภาพ” เลยมีส่วนไม่มากก็น้อย ที่ทำให้การแข่งขันเพื่อผลิตคิดค้น “วัคซีน” ในอันที่จะเอาชนะโรคภัยดังกล่าว จึงมีอยู่เยอะแยะมากมายชนิดนับนิ้วแทบไม่หวาด-ไม่ไหว ขณะประเทศที่ก้าวหน้า ก้าวไกล ทางการแพทย์และเทคโนโลยีด้านต่างๆ อย่างอเมริกา สามารถประดิษฐ์คิดค้นวัคซีน อย่าง “ไฟเซอร์-ไบออนเทค” (Pfizer-BioNTech) และ “โมเดอร์นา” (Moderna) ได้เป็นผลสำเร็จ ประเทศอดีตมหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกาในยุค “สงครามเย็น”อย่างหมีขาวรัสเซีย จึงไม่ได้คิดจะ “น้อยหน้า” แต่อย่างใด การคลอดวัคซีน “สปุตนิค-วี” (Sputnik-V) ออกมา ดูเหมือนจะเป็นรายแรกเอาเลยด้วยซ้ำ แถมผู้นำที่ได้ชื่อว่าสุดแสนจะฉลาดระดับอัจฉริยะทางการเมืองเอาเลยก็ไม่แน่ อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ยังออกมา “ฉีดโชว์” ให้เห็นกันจะจะแค่เฉพาะวัคซีน 2 ตัว 3 ตัว ก็น่าจะ “บวดหัว” พอสมควรแล้ว...
แต่ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้...มีหรือที่คุณพี่พญามังกรจีน ผู้กำลังจะผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า จะยอมเอามือซุกหีบไว้เฉยๆ โดยเฉพาะในฐานะประเทศที่ต้องผจญกรรม ผจญเวรกับเชื้อไวรัส “COVID-19” เป็นรายแรก การประดิษฐ์คิดค้นวัคซีนที่เรียกๆ กันว่า “ซิโนแวค” (Sinovac) และ “ซิโนฟาร์ม” (Sinopharm) ออกมาเป็นไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบล้านโดส แถมยังพร้อมจำแนกแจกจ่าย ให้กับบรรดาประเทศพันธมิตร หรือบรรดาประเทศที่หวังจะให้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ส่วนหนึ่งทางยุทธศาสตร์แห่งความมั่นคงของจีนในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นแคมโบเดีย หรือกัมพูชา ของคุณพี่ “ฮวยเซ็ง” หรือ “ฮุนเซน” ไล่ไปถึงฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และพม่า จนข้ามไปยังฝั่งยุโรปแถวๆ เซอร์เบีย หรือบรรดา “ประเทศหัวสะพาน” ตามแนวคิดโครงการ “Belt & Road” โน่นเลย ฯลฯ...
ขณะที่อดีตจักรวรรดินิยมผู้เคยได้ชื่อว่า “ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” อย่างอังกฤษ ก็คงอยู่เฉยไม่ได้ แม้ต้องเคยพึ่งพาวัคซีน “ไฟเซอร์” ของอเมริกาก่อนหน้านี้ แต่ท้ายที่สุด...ก็สามารถประดิษฐ์คิดค้นวัคซีน “แอสตราเซเนกา” (AstraZeneca) ได้เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์ โดยมีประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา จองคิวเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ควักเงินเป็นพันๆ ล้านบาทรอซื้อเอาไว้ฉีดให้ผู้คนประมาณ 13 ล้านคนเป็นอย่างน้อย แม้แต่อินตะระเดียที่อาจหนักไปทางนาร๊าย...นารายณ์มาโดยตลอด ถึงแม้ขณะที่ต้องหันไปพึ่งอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่ก็ยังเตรียมเข็น “โควัคซีน” (Covaxin) ออกมาประชันขันแข่งกับวัคซีนชนิดต่างๆ ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า แล้วยังมี “Epivac Corona” และ “Convidicia” ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ที่เตรียมตัวออกมาฉีดใครต่อใคร ให้เจ็บแขน เจ็บสะโพกกันไปทั่วทั้งโลก...
แต่ก็นั่นแหละ...ไปๆ-มาๆ จะด้วยเหตุเพราะ “วัคซีน” มันอาจจะเยอะเกินไป หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ ความน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อต่อการอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “วัคซีน” เหล่านี้ ไปเอาชนะโรคร้าย โรคระบาด อย่างท่านเชื้อ “COVID-19” จึงถูกนำมาแพร่กระจายจนกลายเป็น “ไวรัล” ที่อาจก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้า ยิ่งกว่า “ไวรัส” เอาเลยด้วยซ้ำ เช่นความพยายามฉีดวัคซีน “ไฟเซอร์” ให้กับบรรดาชาวนอร์เวย์ทั้งหลาย ปรากฏว่า “หงายท้องตึง” ไปแล้วถึง 23 รายด้วยกัน หรือไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี อันเนื่องมาจาก “ผลข้างเคียง” ของวัคซีนตัวนี้ โดยเฉพาะต่อบรรดาคนแก่และคนชราทั้งหลาย แต่นั่นก็ยังไม่ถึงกับน่า “บวดหัว” น่าหนักใจมากมายสักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับความคิด-ความเชื่อ ที่ออกไปในแนวที่เรียกกันว่า “ทฤษฎีสมคบคิด” หรือ “Conspiracy Theory” ทั้งหลาย ซึ่งกำลังแพร่ระบาดไปแทบจะทั่วโลกในทุกวันนี้...
เช่น ความเชื่อว่าความพยายามฉีดวัคซีนเข้าไปในเส้นเลือดภายในร่างกายของใครต่อใคร มีที่มา-ที่ไปจากพวก “อีลีตโลก” อย่างเช่น “นายบิล เกตส์”อภิมหาเศรษฐีของเศรษฐีผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ และผู้บริจาคเงินรายใหญ่ให้กับการค้นคว้าและวิจัยเรื่องโรคระบาดต่างๆ มาโดยตลอด ที่ต้องการนำเอา “ไมโครชิพ”สอดแทรกเข้าไปในร่างกายของใครๆ ผ่านกระบวนการฉีดวัคซีนชนิดไหนต่อชนิดไหน ก็แล้วแต่ เพื่อที่จะเฝ้า “ติดตาม-ควบคุม-และบังคับ” บรรดาพลโลกทั้งหลาย ได้แบบถนัดถนี่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าแนวความคิดดังกล่าว ออกจะสุดเหวี่ยง สุดลิ่มทิ่มกระดาน หรือ “เวอร์” อยู่พอสมควร แต่ด้วยเหตุที่มันออกจะประสานสอดคล้องกับแนวความคิดของพวก “เสรีนิยมใหม่” หรือ “ทุนนิยมยุคใหม่” ที่ต้องการปรับสภาพโลกทั้งโลก ให้เป็นไปตามที่ตัวเองปรารถนาและต้องการ เช่น แนวคิดในเรื่อง “The Great Reset” ของประธาน “WEF” และมกุฎราชกุมารอังกฤษ รวมทั้งว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ ฯลฯ เป็นต้น อะไรที่ “ไม่น่าเชื่อ” มันก็เลยถูกทำให้ “น่าเชื่อ” ไปจนได้...
โดยเฉพาะเมื่อบรรดา “ความไม่น่าเชื่อ” ที่ถูกทำให้ “ต้องเชื่อ” เหล่านี้...มันได้อาศัย “โลกเสมือนจริง” โลกโซเชียล มีเดีย หรือโลกที่ไร้พรมแดน เป็นเครื่องมือแพร่กระจาย “ไวรัล” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมานานแล้ว เช่นการเมคเรื่อง สร้างเรื่อง หรือทำให้เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องต้องกลายเป็นเรื่องไปจนได้ โดยผู้ที่ใช้สมญานามว่า “QAnon” หรือใครก็ไม่รู้??? ที่สมมตินามตามท้องเรื่องว่า “นายQ”โดยคำกล่าว คำอ้าง ว่าตัวเองสามารถ “เข้าถึง” ข้อมูลเอกสารลับสุดยอดของหน่วยงานลับในอเมริกา ที่เรียกๆ กันว่า “Q Clearance” อะไรทำนองนั้น แม้จะโม้ผิด โม้ถูก พ่นแมงโม้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016-17 ในสังคมอเมริกา ออกไปทาง “ขวาจัด” แบบสุดๆ มุ่งเชียร์ “ทรัมป์บ้า” และเล่นงานคู่แข่งต่างๆ ตั้งแต่ “ฮิลลารี” ไปยัน “ผู้เฒ่าโจ” หาว่าเป็นพวกชอบมีเซ็กซ์กับเด็ก พวกซาตาน ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ แต่บางเรื่อง บางราว คงปฏิเสธมิได้ว่า...มันออกจะประสานสอดคล้องกับความเป็นไปของโลกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะโลกที่เต็มไปด้วยช่องว่างระหว่างความรวย-ความจน คนรวย-คนจน โลกรวย-โลกจน โลกเหนือและโลกใต้ หรือโลกที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจอิทธิพลของ “อีลีตโลก” พวก “ทุนนิยมโลก” มาโดยตลอด...
ความไม่น่าเชื่อ แต่ถูกทำให้ต้องเชื่อเหล่านี้...ว่ากันว่าเคยแพร่กระจายจากเว็บไซต์เล็กๆ อย่าง “4Chan” เมื่อแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเอง จนบัดนี้ “ไวรัล” ดังกล่าว สามารถแพร่ขยายไปทั่วทั้งยุโรป ไม่ว่าเนเธอร์แลนด์ อังกฤษ เยอรมนี ฯลฯ และโดยเฉพาะประเทศยุโรปตะวันออก อย่างบรรดาประเทศบอลข่าน เป็นต้น และกำลังลามไปยังประเทศละตินอเมริกา อย่างโคลอมเบีย เม็กซิโก คอสตาริกา อาร์เจนตินา และบราซิล ฯลฯ ส่งผลให้ผู้คนพลเมืองที่หัวเด็ดตีนขาด ก็ไม่คิดจะ “ฉีดวัคซีน” โดยเด็ดขาด มีจำนวนเพิ่มกับเพิ่ม อย่างมี “นัยสำคัญ” เอาเลยทีเดียว เซอร์เบียนั้น...ในจำนวนผู้คน 7 ล้านคน ที่มาลงชื่อขอฉีดวัคซีนมีอยู่แค่ 200,000 คนเท่านั้น ส่วนบัลแกเรียผู้ไม่คิดฉีดวัคซีนมีถึง 46 เปอร์เซ็นต์ ยอมฉีดแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับสาธารณรัฐเช็กที่ยังไงๆ ก็ไม่ฉีดถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน และในหมู่ผู้คนเหล่านี้...ถ้าว่ากันตามผลสำรวจวิจัยความคิด-ความเห็น มีถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ที่หันไปเชื่อต่อสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ หรือหันไปเป็น “สาวก” ของ “QAnon” กันไปเป็นแถบๆ...
แน่ล่ะว่า...บรรดาสิ่งเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ถือเป็นการสะท้อนถึงอาการทาง “ประสาท” ของบรรดาผู้คนในโลกอย่างเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึง “ความไม่ร่วมมือ” การแข่งขันชิงดี-ชิงเด่น อันเป็นอุปสรรคต่อการเอาชนะ “ศัตรูที่มองไม่เห็น” อย่างโรคระบาดทั้งหลาย ดังที่องค์การอนามัยโลก “WHO” ได้ออกมาเน้นย้ำเอาไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้น...ปัญหามันจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีวัคซีน-ไม่มีวัคซีนเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความห่วยแตก-ไม่ห่วยแตกของพลโลก 7,000 ล้านคนควบคู่ไปด้วย...