xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกากับการแยกรัฐ-แยกประเทศ???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


เหตุปะทะกันระหว่างผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ กับผู้ชุมนุมต่อต้านประธานาธิบดี  ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ
ไม่น่าเชื่อ...แต่ก็คงต้องเชื่อนั่นแหละทั่น!!! สำหรับ “ความดื้อ” แบบชนิดสุดฤทธิ์ สุดหลอดของผู้นำอเมริกา ผู้มีนามกรว่า “ทรัมป์บ้า” ที่แม้กระทั่ง ณ วินาทีนี้ ก็คงยืนหยัด ยืนกราน เชื่อว่าตัวเองยังคงเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันคราวล่าสุด เพียงแต่ถูกโกง ถูกขโมยการเลือกตั้ง จากคู่แข่ง คู่ชิง ฝ่ายตรงกันข้ามอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” เลยหนีไม่พ้นต้องออกแรงฮึด แรงยื้อ เอาไว้จนตราบนาทีสุดท้าย...

คือถึงแม้จะเข้าสู่ช่วงกำหนดการ ให้บรรดา “คณะเลือกตั้งประธานาธิบดี” (Electoral College) ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาจากรัฐต่างๆ ลงมติ ลงคะแนน ในวันนี้-พรุ่งนี้ (14 ธ.ค.) อันถือเป็นการสิ้นสุดกระบวนการเลือกตั้ง อย่างเป็นเอกฉันท์และอย่างเป็นทางการ โดยคะแนนเสียงคณะเลือกตั้งของ “ผู้เฒ่าโจ” นั้น ได้ทิ้งห่าง ทิ้งขาด “ทรัมป์บ้า” แบบแทบไม่ต้องเสียเวลา “ลุ้น” อะไรอีกต่อไปแล้ว หรือห่างกันในระดับ 306 ต่อ 232 เสียง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...ระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการ “Fox & Friends” ทางโทรทัศน์ “Fox News” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (13 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ ก็ยังคงยืนหยัด ยืนกราน ว่าตัวเองยังคงไม่ใช่ “ผู้แพ้” หรือการเอาแพ้-เอาชนะกันในการเลือกตั้ง ยังไม่ได้ “จบเกม” ลงไปแต่อย่างใด...

ทั้งๆ ที่คดีความซึ่ง “ทรัมป์บ้า” และบรรดาพลพรรครีพับลิกัน ต่างแยกย้ายกระจายตัว ร่วมกันฟ้องร้องต่อศาลต่างๆ ปาเข้าไปเกือบครึ่งร้อยคดี หนักไปทาง “แพ้เรียบ” ไปแทบทุกๆ คดี โดยเฉพาะการแพ้คดีในรัฐเท็กซัส ที่ใครต่อใครถือเป็นการ “ตอกตะปูฝาโลงตัวสุดท้าย” ให้กับความพยายามที่จะยื้อไป-ยื้อมา ของประธานาธิบดีรายนี้ ชนิดเหลือแต่ต้องหามไปลงหลุม หรือไม่ก็ต้องฌาปนกิจแบบไทยๆ กันไปตามสภาพ แต่นั่น...กลับไม่ได้ทำให้ผู้นำอเมริกันรายนี้ ออกอาการถอดใจ ปลงสังขาร หรือนำไปสู่การคิดลด-ละ-เลิกใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ความพยามฮึดสู้ เพื่อดำรงรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีของตัวเองไว้ให้จงได้ จึงยิ่งส่งผลให้ “ความเป็นประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับอเมริกา ยิ่งเป็นอะไรที่น่าขนลุก ขนพอง ยิ่งเข้าไปทุกที...

เพราะสิ่งที่ยังพอหลงเหลืออยู่...ในการแสดงออกถึงความถูกต้อง ชอบธรรม ของตัวเอง ก็คือบรรดาปวงชน หรือประชาชน อันเป็นฝ่าย “ตัวกู-ของกู” นั่นเอง หรือบรรดาชาวรีพับลิกันทั้งหลาย ที่แห่ไปเทคะแนนเสียงให้กับ “ทรัมป์บ้า” ไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้านเสียง แม้ว่าจะไม่ได้ถือเป็น “เสียงส่วนใหญ่” เมื่อเทียบกับผู้ที่หันไปเทคะแนนให้กับ “ผู้เฒ่าโจ” แห่งพรรคเดโมแครตก็ตาม แต่โดยคะแนนระดับ 60-70 ล้านเสียง ก็น่าจะมีส่วนส่งผลให้ “อัตตา” ของ “ทรัมป์บ้า” ที่โดยปกติก็น่าจะมีมากพอสมควรอยู่แล้ว ยิ่งเบ่งบาน บวมพอง ยิ่งระเบิดเถิดเทิงหนักขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรดาชาวรีพับลิกันส่วนใหญ่ หรือกว่า 77 เปอร์เซ็นต์ตามผลสำรวจคราวล่าสุดของ “Quinnipiac Poll” ต่างแสดงออกถึงความเชื่อแบบจริงๆ จังๆ ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ ถูกโกง หรือถูกขโมยเลือกตั้ง ดังที่ผู้นำของตัวเอง เคยชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ก่อนหน้านี้...

ดังนั้น...จึงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมาย ที่ภายใต้ความเป็นประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกันดังกล่าว จึงเริ่มกลายสภาพไปเป็น “ประชาธิป...ตาย” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือเริ่มบาดเจ็บ ล้มตายกันไปมั่งแล้ว โดยเฉพาะที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.เมื่อฝ่ายผู้สนับสนุน “ทรัมป์บ้า” อย่างพวก “Proud Boys” ได้ออกมาปะทะกับพวกกลุ่มปีกซ้ายที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต อย่างพวก “Antifa” จนเกิดการไล่ทุบ ไล่กระทืบ และไล่เสียบ ส่งผลให้ผู้ที่ถูกแทงต้องหามไปส่งโรงพยาบาลประมาณ 4 รายด้วยกัน ไม่รวมผู้ที่โดนยิงไปอีก 1 และผู้ที่ถูกจับกุมอีกประมาณ 23 ราย นี่...เฉพาะแค่จุดๆ เดียวเท่านั้น!!! ยังมีอีกหลายต่อหลายจุด หลายต่อหลายพื้นที่ ที่กำลังตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ไม่ว่าในรัฐจอร์เจีย เพนซิลเวเนีย มิชิแกน วิสคอนซิน เนวาดา และแอริโซนา ฯลฯ ที่ยังมิอาจคาดเดาได้ว่า จะต้องไล่ฆ่า ไล่แทง และไล่ยิง กันไปอีกถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน???

และแม้ว่า “ผู้เฒ่าโจ” จะผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกันได้อย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อย สามารถเข้าพิธีสาบานตัวในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า โดยจะต้อง “อุ้ม” ประธานาธิบดีคนเก่าออกจากทำเนียบขาวด้วยวิธีไหนๆ ต่อวิธีไหนก็เถอะ แต่การที่จะต้องหาทางปกครอง ดูแลผู้คนจำนวนไม่น้อยกว่า 60-70 ล้านเสียง ที่พร้อมจะ “ปฏิเสธ” ความเป็นประธานาธิบดีของตัวเอง ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเพราะโกง เพราะขโมยการเลือกตั้งใดๆ ก็แล้วแต่ อันนี้นี่แหละ...ที่คงไม่ถึงกับ “ง่ายดาย” กันสักเท่าไหร่นัก หรือคงหนีไม่พ้นต้องปวดหัว เวียนเฮด ไปโดยตลอด ยิ่งบรรดากลุ่มคนเหล่านี้ ได้รับการปลุกเร้าและแรงกระตุ้น ให้แสดงออกถึงการต่อต้าน คัดค้าน กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม กันอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ...

การแยกรัฐ แยกประเทศ ออกเป็น “ประเทศสีน้ำเงิน” (เดโมแครต) กับ “ประเทศสีแดง” (รีพับลิกัน) จึงดูจะเริ่มมีการพูดๆ กันอย่างเป็นกิจจะลักษณะขึ้นมาบ้างแล้ว เผลอๆ...อาจหนักซะยิ่งกว่าบ้านเรา ที่บรรดาพวกที่อยากแยกตัวเองไปเป็น “สาธารณรัฐเป็ด” อะไรประมาณนั้น ส่วนใหญ่มักหนักไปทางพวกเด็กๆ ประเภทที่ไม่อยากใส่เครื่องแบบนักเรียน ไม่อยากตัดผมสั้น หรือพวกอยากดูพอร์นฮ๊ง พอร์นฮับ โดยเสรี ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรไปตามเรื่อง ตามราว แต่สำหรับประเทศประชาธิปไตยของแท้และดั้งเดิม อย่างอเมริกาแล้ว สิ่งเหล่านี้...ได้ถูกทำให้เป็นเรื่อง เป็นราว และเอาเรื่อง เอาราว มาโดยตลอด นับตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด “สงครามกลางเมือง” หรือ “สงครามทาส” เอาเลยก็ว่าได้...

ด้วยเหตุเพราะร่องรอยความแตกต่าง ไม่ว่าในทางวัฒนธรรม ค่านิยมทางสังคม พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการกิน-การอยู่ การใช้ชีวิตในแง่ส่วนตัว หรือสาธารณะ ฯลฯ ของผู้คนในอเมริกาเหนือ ไม่เพียงดำรงคงอยู่มานานแล้ว แต่ยังดำเนินต่อเนื่อง สืบเนื่องมาโดยตลอด จนนักคิด นักเขียน ชาวอเมริกัน อย่าง “นายJoel Garreau” เคยนำเอามาเสนอกลายเป็นหนังสือขายดิบ ขายดี ไปทั่วทั้งประเทศอเมริกา เมื่อช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นั่นคือเรื่อง “The Nine Nations of North America” ที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จนทำให้สามารถ “แยกประเทศอเมริกา” ออกเป็น 9 รัฐ 9 ประเทศ ได้โดยชัดเจน และแม้ว่าโดย “ความเป็นประชาธิปไตย” หรือโดย “รัฐธรรมนูญ” ของอเมริกาจะสามารถผูกรวมเอาพื้นที่ต่างๆ และกลุ่มคนต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันก็ตาม แต่ถ้าหาก “ความเป็นประชาธิปไตย” ที่ว่า มันดันเสื่อมโทรมและเสื่อมทรามลงมา ไม่ว่าโดยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ความคิดในเรื่องการแยกรัฐ แยกประเทศ มันเลยไม่ใช่เป็นแค่เรื่อง “เด็กๆ” แต่เพียงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่บรรดานักการเมือง นักเศรษฐกิจ-ธุรกิจ ไปจนถึงนักสังคมวิทยาจำนวนไม่น้อย ต่างเริ่มมองเห็นถึงความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ...

สิ่งที่เป็น “ปัญหา” ของประเทศอเมริกา หรือสังคมอเมริกัน ในทุกวันนี้...จึงไม่ใช่แค่ใครแพ้-ใครชนะ หรือใครจะได้เป็น-ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีอเมริกัน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่เป็นปัญหาที่ลุกลามบานปลาย เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อ “ความเป็นประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับอเมริกัน อย่างตรงไป-ตรงมา ว่าถ้าหากความเป็นประชาธิปไตยมันดันเสื่อม ดันโทรม ลงมา สังคมอเมริกันหรือบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย จะสามารถแสวงหา “จิตวิญญาณทางสังคม” หรือ “จุดศูนย์รวมทางสังคม” ในรูปไหน แบบไหน กันดี ถึงจะสามารถผูกโยง เชื่อมโยง และบูรณาการสังคมทั้งสังคมไว้ให้เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันต่อไปได้ ชนิดที่ไม่ถึงกับต้องทำให้อนาคตของประเทศ “USA” ต้องกลายไปเป็นแบบเดียวกับอดีตประเทศสังคมนิยม อย่าง “USSR” หรือสหภาพโซเวียต เมื่อไม่นานมานี้ นั่นก็คือต้อง “แตกดังโพล๊ะ” ไปตามสภาพ...




กำลังโหลดความคิดเห็น