ก็น่าจะถือเป็นการ “ตอกตะปูฝาโลงตัวสุดท้าย” ไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว...สำหรับการเลือกตั้งอเมริกา เมื่อบรรดาคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เรียกๆ กันว่า “Electoral College” ได้ออกเสียงลงมติให้ชายชราผู้เซื่องซึม ซมเซา หรือไม่อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ออกจะหงำเหงอะ อยู่แล้วแน่ๆ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” หรือ “โจ ไบเดน” ผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลก ด้วยคะแนนเสียงที่เกินไปกว่า 270 เสียง หรือ 306 ต่อ 232 เสียง เมื่อเทียบกับผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตประธานาธิบดี อย่าง “ทรัมป์บ้า” อย่างชนิดไม่ต้องเสียเวลาตั้งข้อสงสัยใดๆ อีกต่อไป...
ส่วนโลกทั้งโลก...ภายใต้ “ประมุขโลก” อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” จะเป็นไง มาไงกันต่อไป อันนั้น...คงต้องปล่อยให้บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือบรรดา “กูรู-กูรู้” ทั้งหลายเขาวิเคราะห์กันต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือภายใต้ความปั่นป่วนรวนเร ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะหลังจากช่วงวิกฤตการณ์ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” เป็นต้นมา ดูจะเริ่มส่งผลให้บรรดาประเทศ “เสรีประชาธิปไตย” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นประเทศผู้นำโลกอย่างอเมริกา รวมไปถึงบรรดาประเทศในยุโรปอีกจำนวนไม่น้อย ต่างหนีไม่พ้นต้องหันมาให้ความสนใจ หรือให้ความสำคัญ ต่อการใช้ “อำนาจ” ในการควบคุม ดูแล บริหารจัดการ สังคมภายในของตัวเอง แบบชนิดเอาจริง-เอาจัง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ถ้าลองไม่คิดจะใช้ “อำนาจ” ก็อาจ “เอาไม่อยู่” ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะสำหรับบรรดาสังคมเสรีประชาธิปไตยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้ใครต่อใครสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ไปจนกระทั่งล็อกดาวน์ ฯลฯ และแม้พยายามใช้อำนาจในแบบละมุนละม่อม ประนีประนอม เพียงใดก็แล้วแต่ ก็ยังหนีไม่พ้นที่ต้องเจอกับการต่อต้านการประท้วง ระดับถึงขั้นออกมาเผาโน่น เผานี่ เอาเลยถึงขั้นนั้น การไล่ทุบ ไล่ถีบ ไล่กระทืบ หรือไล่ฉีดน้ำผสมสี ผสมสารเคมี ฯลฯ หนักซะยิ่งกว่าบ้านเราด้วยซ้ำ จึงกลายเป็นข่าวคราวปรากฏให้เห็นแบบซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ในบรรดาประเทศที่เพรียกหาเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ไม่ว่าอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ จนตราบเท่าทุกวันนี้...
ยิ่งประเทศต้นแบบประชาธิปไตยเสรีของพวกเด็กๆ ในบ้านเราอย่างประเทศฝรั่งเศสด้วยแล้ว ยิ่ง “ปวดหัวตายห่า” หนักขึ้นไปใหญ่ชนิดส่งผลให้ผู้นำประเทศอย่าง “นายเอ็มมานูเอล มาครง” น่าจะอ้วกแตก อ้วกแตน ซะยิ่งกว่านายกฯ “บิ๊กตู่” ของหมู่เฮา ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า คือพอคิดออกกฎหมายความมั่นคงเพื่อช่วยปกป้องคุ้มครอง ดูแลเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ อย่างบรรดาตำรวจทั้งหลาย ไม่ให้ถูกเอาภาพไปโพสต์โน่น โพสต์นี่ ตามเว็บไซต์ต่างๆ (Global Security Law) ก็ดันต้องเจอกับ “ม็อบปลดแอก” ชาวฝรั่งเศส ออกมาลงถนนกันในแต่ละเมือง จนรัฐบาลต้องป่าวประกาศยอมแก้ไขกฎหมายดังกล่าว แล้วหันไป “ปฏิรูปตำรวจ” กันแทนที่ แต่ก็นั่นแหละ...เลยส่งผลให้บรรดาตำรวจ หันมาเล่นบทเป็น “ผู้ประท้วง” ออกมาชุมนุมต่อต้าน คัดค้านรัฐบาล เมื่อช่วงวันจันทร์ (14 ธ.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง แม้ไม่ถึงขั้นเผาโน่น เผานี่ สาดสี ตีไข่ อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ก่อให้เกิดความ “บวดหัว” ชนิดยา “บวดหาย” ใดๆ ก็แทบเอาไม่อยู่...
อเมริกาเองก็เถอะ...ความพยายามที่จะหันมาสร้างความแข็งแกร่งเพื่อให้ประเทศอเมริกากลับไปสู่ความยิ่งใหญ่ เกรียงไกร เหมือนเดิม หรือ “Building back better” ที่ถูกนำเอามาใช้เป็นคาถา หรือ “คำขวัญ” ของ “ผู้เฒ่าโจ” ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง เพื่อสู้กับคำขวัญ “America First” ของ “ทรัมป์บ้า” นั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็คือคำพูด คำจา ที่ต่อเนื่อง สืบเนื่อง มาจากแนวคิดเรื่อง “The Great Reset” ของนักคิดชาวเยอรมัน อย่าง “นายKlaus Schwab” ประธาน “World Economic Forum” และเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แห่งอังกฤษนั่นเอง ที่ได้นำเสนอแนวคิดดังกล่าวเอาไว้ในเวทีประชุม “WEF” เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังไปแล้ว หรือเป็นแนวคิดที่เลี่ยงไม่พ้นต้องอาศัย “อำนาจ” ในการควบคุม บังคับ เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความปรารถนาและต้องการของแต่ละกลุ่มก้อน องค์กร แต่ละสังคม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...
ไม่ว่าเพื่อ “ฟื้นฟูระบบทุนนิยม” ให้กลับมาทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล กันใหม่ หรือเพื่อทำให้เกิดการ “Buy America-Make it in America-Supply America” ตามแนวคิดของว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ก็ตามที ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยการบังคับใช้ “อำนาจ” แบบเพิ่มขึ้นๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งต้องเจอกับความเละตุ้มเป๊ะ เละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ภายในสังคมอเมริกันปัจจุบัน การปะทะขัดแย้งระหว่างมวลชน “ขวาจัด” อย่างพวก “Proud Boys” ทั้งหลาย กับบรรดามวลชน “ซ้ายจัด” อย่างพวก “Antifa” ที่อาจทำให้ถึงขั้นต้องแยกรัฐ แยกประเทศ เอาง่ายๆ การเพิ่มอำนาจในการควบคุม บังคับ บรรดาผู้คนภายในสังคมของตัวเอง ตามแบบฉบับ “The Great Reset” หรือแบบ “Building back better” ก็แล้วแต่ จึงทำให้แนวโน้มของบรรดาประเทศเสรีประชาธิปไตยทั้งหลาย ชักเริ่มออกไปทาง “อำนาจนิยม” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจเอามากๆ หรืออาจถือเป็นภาพสะท้อนทิศทางความเป็นไปของโลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ ที่แนวโน้มของบรรดาสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” ใดๆ ก็แล้วแต่ มีสิทธิที่จะลดน้อยถอยลงยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพในทางส่วนตัว หรือในทางสาธารณะก็เถอะ หรือเอาไป-เอามาแล้ว...ความเป็นประเทศ “เสรีประชาธิปไตย” อย่างอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ หรือบรรดาโลกตะวันตกทั้งหลาย ชักหนีไม่พ้นต้องหาปรับสภาพตัวเอง ให้สามารถควบคุม บังคับ ใครต่อใครภายในสังคมของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เช่นเดียวกับบรรดาประเทศ “เผด็จการ” ทั้งหลายนั่นเอง ไม่งั้นโอกาส “ปวดหัวตายห่า” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
จะด้วยเหตุเพราะสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” แต่ละรูป แต่ละแบบ มันถูกทำให้ย่อยแยก แตกกระจาย ด้วยภาวะความเป็นไปของสังคม หรือด้วยความก้าวหน้า ก้าวไกล ของ “เทคโนโลยี” ที่ยากจะควบคุม บังคับได้ยิ่งขึ้นทุกที ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่โดยแนวโน้มเช่นนี้ มันเริ่มกลายเป็น “ข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าแต่ละประเทศจะมีรูปแบบการเมือง-การปกครองไปในลักษณะไหน เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นทุนนิยมเผด็จการ หรือทุนนิยมเสรีก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่ต้องหาทางควบคุม บังคับ ผู้คนในสังคมของตัวเอง ให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...
เพียงแต่ในแต่ละประเทศ จะแสวงหา “กรรมวิธี” ที่ประณีตและแยบยลกันไปถึงขั้นไหน รวมทั้งความจำเป็นที่จะต้องใช้ “อำนาจ” นั้นๆ สุดท้ายแล้ว...มุ่งจะตอบสนองผลประโยชน์ของใครกันแน่??? ส่วนน้อย? หรือส่วนใหญ่? อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็นความแตกต่างของแต่ละสังคม แต่ละประเทศ ที่ต้องหาทางประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง จะโดยอาศัยค่านิยมทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ คือถ้าสามารถซ่อนเงื่อน ซ่อนงำ บังคับได้แบบนิ่มๆ หรือแบบไม่ถึงกับรู้เนื้อ รู้ตัวสักเท่าไหร่ อันนั้น...ก็อาจเรียกตัวเองว่า “ประชาธิปไตย” ต่อไปได้แบบเต็มปาก เต็มคำ แต่ถ้าหากต้องบังคับกันอย่างตรงไป-ตรงมา อย่างเปิดเผย จริงจังหรือจริงใจ ก็อาจต้องเรียกตัวเองว่า “เผด็จการ” ไปพลางๆ นั่นแล....