xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“น้องทอน” เบิกเนตรคนทั้งประเทศ ม็อบ-สื่อเป็ด “หูหนวก ตาบอด ใบ้รับประทาน”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ร้อนก้นกันเป็นทิวแถวกับคดีที่ “นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด” น้องชาย “เสี่ยเอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” แห่งคณะก้าวหน้า พัวพันจ่ายสินบน 20 ล้านบาท ให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อได้สิทธิ์เข้าใช้ประโยชน์ที่ดินผืนงามย่านชิดลม ใจกลางกรุงเทพฯ ที่มีการตั้งข้อสังเกตตำรวจเตะถ่วงสำนวนคดีคล้ายกรณี “บอส อยู่วิทยา” ขณะที่อัยการสูงสุด ออกตัวแก้ต่างคดีอยู่ในมือตำรวจ ยังไม่ถึงขั้นตอนจะสั่งฟ้องหรือไม่

แม้คดียังไม่ถึงที่สุด แต่ต้องบอกว่างานนี้ถือเป็นการ “เบิกเนตร” คนไทยทั้งประเทศให้ได้รับรู้ถึงความจริงที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้เงียบกริบว่า อะไรคือความจริง อะไรคือความลวง

แต่ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากตื่นรู้ กลับมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับ “ม็อบคณะราษฎร 2563” หรือ “ม็อบเป็ด” ตลอดรวมถึงแนวร่วมในทุกวงการ เพราะไม่ปรากฏว่าพวกเขานำเรื่อง “น้องทอน” ไปปราศรัย ไปวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ทุกช่องทาง ขณะที่บรรดา “สื่อ” ทั้ง “สื่อหลักและสื่อเป็ด” ตลอดรวมถึง “พิธีกร(บางคน)” ที่รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า สนับสนุนม็อบเป็ดก็เงียบกริบ ไม่มีการนำเสนอ กระทั่งเรื่องฉาวโฉ่แดงโร่ออกมาจนอัยการสูงสุดจำต้องลุกขึ้นมาชี้แจง ถึงได้มีการนำเสนอข่าวแบบขอไปที ทั้งๆ ที่เรื่องนี้สมควรที่จะนำไปล้วงแคะแกะเกาในรายการการเมืองชื่อดังอย่าง “ถามตรงๆ” ของ “จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์” เสียยิ่งกระไร

ขณะที่สื่อต่างชาติอย่าง “บีบีซีประเทศไทย” ที่ชูรักแร้เชียร์มาอย่างต่อเนื่องก็ไพล่ไปว่า “เป็นคดีที่หวังผลทางการเมือง” ไปโน้น มิได้มองเลยสักนิดเลยว่า นี่คือคดี “ฮุบที่หลวง” ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้

เรียกว่า พร้อมใจกัน “ปิดหู ปิดตา ปิดปาก” พร้อมใจกัน “หูหนวก ตาบอดและใบ้รับประทาน” โดยพร้อมเพรียง ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถใช้คำว่า “สองมาตรฐาน” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

สาวทีละขดคดี “น้องทอน”
พัวพันปมสินบน 20 ล้านบาท
อันที่จริง “คดีน้องทอน” มีคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี เจ้าหน้าที่ฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ร่วมกับพวกทำเอกสารปลอมแอบอ้างฯ ไปตั้งแต่ปี 2562 ที่ผ่านมาแล้วแบบเงียบๆ ขณะที่ฝ่ายตำรวจเจ้าพนักงานสอบสวนก็ลูบๆ คลำๆ สำนวนคดีที่พบพฤติกรรมของนายสกุลธร อาจไม่ได้ถูกหลอกลวงดังกล่าวอ้างแต่อาจพัวพันการยัดเงินใต้โต๊ะ 20 ล้านบาท เพื่อหวังเข้าไปใช้ประโยชน์ที่ผืนงามย่านชิดลมดังกล่าวแบบใจเย็นๆ ด้วยเหตุผลเดิมๆ คือรอรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนเสียก่อน

กระทั่งเมื่อเกิดกระแสม็อบประชาชนปลดแอก ลงถนนแล้วชูประเด็นข้อเรียกร้องตรวจสอบสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์  นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ จึงคุ้ยปมคดีน้องชายนายธนาธร และสำนักทรัพย์สินฯ ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 และศาลได้ตัดสินคดีเอาผิด 2 เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ เมื่อปี2562 ที่ผ่าน ขึ้นมาแฉ และตั้งคำถามกลับไปว่าทำไมจนบัดนี้ “นายสกุลธรยังลอยนวล”

โพสต์ที่นายอัษฎางค์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ที่ว่า “ร.10 ทรงงานแบบเก็บเงียบ ด้วยนัยยะแห่งปัญหาอันซ่อนเร้น เกาะกินจนฝังรากลึก แต่ถูกบางคนเอาไปบิดเบือนเพื่อหากิน” ที่คุณหรือใคร...อาจไม่เคยรู้นั้นกล่าวถึงในหลวงกำลังสั่งเก็บกวาดบ้านแต่ถูกใส่ความว่าไม่ทำอะไรเลย แถมจะกินรวบ การทรงงานของในหลวงรัชกาลปัจจุบันมีสไตล์เป็นของพระองค์เอง คือการทำงานหนักแต่พูดน้อยหรือไม่พูดเลย จึงถูกไอ้โม่งฝ่ายต่อต้านเอาไปบิดเบือนเพื่อให้ร้ายว่าในหลวงกระทำการมิชอบ ทุกอย่างที่พระองค์ทำมีนัยยะแห่งปัญหาที่ซ่อนเร้นและฝังลึก เกาะกินราชสำนักมาเนิ่นนาน

“ตลอดเวลา 4 ปีที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ขึ้นครองราชย์สมบัติ มีข่าวการกวาดล้าง จับกุม และเปลี่ยนแปลง โยกย้ายข้าราชการและสำนักงานในพระองค์ หรือในราชสำนัก ...... ที่เป็นดรามาใหญ่สุดคือการรวมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ฝ่ายต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ เอาไปเล่นเกมการเมืองเพื่อโจมตีให้ร้ายอย่างจาบจ้วงต่อในหลวงรัชกาลปัจจุบันและลามไปถึงในหลวงรัชกาลก่อน ในทำนองว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 จะกินรวบ ทั้งเงินงบประมาณแผ่นดินจากภาษีของประชาชน และทรัพย์สมบัติจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทั้งที่ความจริงในหลวงรัชกาลที่ 10 พยายามล้างบางกับการคอรัปชั่นที่เกาะกินราชสำนัก เช่น ในสำนักงานทรัพย์สินฯ มาเนิ่นนาน เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรงและโปร่งใสในบริหารจัดการ .......”

หนึ่งในตัวอย่างที่นายอัษฎางค์ ยกมาให้เห็นภาพคือทุจริตในสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ นั่นคือ ในขณะที่นายธนาธร พี่ชาย พยายามโจมตีสถาบันฯ ด้วยการโจมตีว่าสำนักงานทรัพย์สินมีความไม่ชอบมาพากล กลับมีข่าวว่าน้องชายธนาธร แอบยัดเงินใต้โต๊ะถึง 20 ล้านบาทให้กับคนในของสำนักทรัพย์สินฯ เพื่อหวังจะฮุบสัมปทานที่ดินทำเลทองย่านชิดลม

นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ
นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายของนายธนาธร เป็นนักพัฒนาที่ดินที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการนำที่ดินจากคุณแม่คือ “นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่เป็นนักสะสมที่ดินตัวยงมาพัฒนาต่อยอด หลังจากนายธนาธร ลาออกจากบริษัทไทยซัมมิท เพื่อลงสนามการเมือง นายสกุลธรก็ก้าวเข้ามารับตำแหน่งแทนนายธนาธร
สำหรับคดีดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อปี 2560 จำเลยในคดีนี้มี 2 คน คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และอีกคนหนึ่งเป็นเหมือนคนกลางที่คอยประสานงาน โดยการให้จําเลยที่ 1 ซึ่งดํารงตําแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ ระดับ บ.4 แผนกโครงการธุรกิจ 1 กองโครงการธุรกิจ 1 ฝ่ายโครงการพิเศษ สํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ

โดยจําเลยที่ 1 ได้เป็นผู้ลงนามด้วยการปลอมลายมือชื่อ มีใจความสําคัญว่า บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ได้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ลงทุนในเบื้องต้นแล้ว สํานักงานทรัพย์สินฯ จึงขอให้สกุลธร ยื่นแผนการพัฒนาพื้นที่ และการลงทุนโดยจะเป็นการทําสัญญาเช่ากับสํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ระยะยาว ในขณะที่จําเลยที่ 2 ซึ่งทำตัวเหมือนหน้าหน้าคนกลางร่วมกันกระทําความผิด ..... เมื่อนายสกุลธร เชื่อว่าสํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีที่ดินแปลงดังกล่าวให้เช่าจริง จึงให้จําเลยที่ 2 ดําเนินการติดต่อประสานงานและอํานวยความสะดวกเพื่อให้บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ได้สิทธิการเช่าที่ดินแปลงดังกล่าว ข่าวว่ามีค่าตอบแทน 500,000,000 บาท

จากนั้น จําเลยทั้งสองได้ร่วมกันในลักษณะแบ่งงานกันทําโดยจําเลยที่ 1 ได้แนะนําให้นายสกุลธร ยื่นหนังสือแสดงความจํานง ขอเช่าที่ดินต่อสํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) ตามช่องทางปกติ แล้วมีข่าวว่าจําเลยทั้งสองร่วมกันเรียกรับเงินงวดแรกจํานวน 5 ล้านบาท จากนายสกุลธร และร่วมกันใช้เอกสารราชการที่จําเลยทั้งสองร่วมกันทําปลอมขึ้นดังกล่าว อ้างต่อนายสกุลธร เพื่อให้นายสกุลธร หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง เมื่อนายสกุลธรได้รับหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าว จึงได้จ่ายเงินงวดที่สอง จำนวน 5 ล้านบาท ตามมาด้วยงวดที่สามอีก 10 ล้านบาท รวม 3 งวดจํานวนเงินรวมทั้งสิ้น 20 ล้านบาท ให้แก่จําเลยทั้งสองรับไว้สําหรับตนเองเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จําเลยทั้งสองจะร่วมกันไปดําเนินการติดต่อประสานงานให้

คดีนี้จบลงด้วยการที่ศาลพิพากษาให้จำคุกคนละ 5 ปี ทว่า จําเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจําคุกจําเลยทั้งสอง คนละ 3 ปี

คำถามก็คือ ด้วยเหตุอันใด “สกุลธร” ผู้จ่ายเงินใต้โต๊ะ 20 ล้านบาทนั้น ทำไมถึงไม่ถูกดำเนินคดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่ หรือข้อหาเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด

ขณะที่ตัว “ธนาธร” ที่ออกมาเย้วๆ หนุนหลัง “ม็อบเป็ด” และเรียกร้องเรื่อง “สองมาตรฐาน-ความเท่าเทียมกันในสังคม” และไปปราศรัยล่าสุดในการหาเสียงเลือกตั้ง อบจ.ที่จังหวัดสมุทรสาครว่า  “....หมดเวลาสำหรับการเมืองเก่าที่ใช้เงินซื้อหัวคะแนน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งระดับชาติ หรือการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ มีแต่การเมืองใหม่ การเมืองที่แข่งขันกันที่นโยบายเท่านั้น ที่จะพัฒนาประเทศไทยไปข้างหน้าได้ อยากให้พี่น้องประชาชนทุกท่านร่วมกันรณรงค์ต่อต้านการเมืองที่ซื้อเสียง โดยการไม่รับเงินที่เขาแจก ไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะไม่สามารถหลุดพ้นจากระบอบเผด็จการได้....” จะตอบคำถามสังคมอย่างไร

มิใช่ต้องไปปฏิรูป “น้องชายตัวเอง” ก่อนเสียแล้วกระมัง ไม่เช่นนั้นแล้วจะไปชี้นำผู้คนได้อย่างไร เหมือนที่ “เฮียทอน” มักเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้อื่นเสมอๆ

เมื่อ “เฮียทอนและแนวร่วม” เลือกที่จะ “เงียบ” บรรดาหัวหมู่ทะลวงไส้ก็ต้องออกมากดดันให้ติดตามความคืบหน้าของคดี รับบทโดย  “เดอะแจ๊ค-วัชระ เพชรทอง”  อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่าน พ.ต.อ.นันพิเดช ศรีเขียวรัตน์ ผู้บังคับการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ขอให้ดำเนินการสอบสวนร้อยเวรเจ้าของคดี และผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีว่า เหตุใดจึงไม่มีการสั่งฟ้องนายสกุลธร ด้วยเกรงว่าอาจจะซ้ำรอยกรณีคดี “บอส กระทิงแดง” 

ส่วนนักการเมืองค่ายสะตอรุ่นพี่  นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ชี้ปมหลังอ่านคำพิพากษา ฟังได้ว่า นายสกุลธร ถูกเจ้าหน้าที่หลอกจึงเป็นผู้เสียหาย แต่เอาเข้าจริงนายสกุลธร อยากเช่าที่ดินแต่ไม่ผ่านการประมูลปกติจึงจ่ายเงินผ่านคนกลางไป 3 งวด 20 ล้าน

และยังว่าศาลวินิจฉัยฟังได้ว่านายสกุลธรให้เงินเจ้าหน้าที่เพื่อติดสินบนโดยไม่ผ่านการประมูลตามวิธีปกติ อีกทั้งศาลตัดสินลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 โดยวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นตัวกลางในการเรียกรับสินบน”  ดังนั้น เงิน 20 ล้านก็อนุมานได้ว่า คือเงินสินบนเพื่อไม่ต้องเข้าประมูลด้วยวิธีการปกตินั่นเอง คำถามคือ เหตุใดอัยการจึงไม่แจ้งข้อกล่าวหานายสกุลธรว่าร่วมกันให้สินบนเจ้าพนักงาน เยี่ยงนี้จะซ้ำรอยคดีบอส กระทิงแดง หรือไม่

ขณะที่  นายสมชาย แสวงการ ส.ว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ตามขยี้ซ้ำ ตั้งคำถามอัยการสูงสุด ทำไมไม่สั่งฟ้องนายสกุลธร ในคดีดังกล่าว เมื่อศาลตัดสินลงโทษจำเลยทั้งสองแล้ว แต่กลับยังไม่มีการดำเนินการทางกฎหมายกับนายสกุลธร ที่ถูกโยงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ่ายสินบน ทางกมธ.ฯ ได้ให้อัยการ ทำหนังสือชี้แจงการพิจารณาคดีด้วยว่าเหตุใดจึงไม่สั่งฟ้องน้องชายนายธนาธร และตำรวจควรมีการรื้อคดีขึ้นมาใหม่

อย่างไรก็ดี หากตามร่องรอยว่าจะมีการเป่าคดีตามที่สังคมตั้งข้อสังเกตหรือไม่ พินิจพิจารณาจากรายงานข่าวของสำนักข่าวอิศราที่ยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ว่า การสอบสวนคดีนี้ทางกองปราบปรามฯ ได้ดำเนินการสอบสวนในทางลับตั้งแต่ปี 2560 จนได้ข้อมูลการกระทำผิดชัดเจนของเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ รายดังกล่าว จึงแจ้งความดำเนินคดี โดยระหว่างการสอบสวนคดีนี้ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม (ยศขณะนั้น ปัจจุบันยศ พล.ต.ต. ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม) เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ในระหว่างนั้นมีการถกเถียงว่า จะดำเนินคดีกับนายสกุลธร หรือไม่ ในฐานะผู้ใช้ หรือผู้จ้างวาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84

ในที่สุดก็ไม่มีการดำเนินคดีกับนายสกุลธร และไม่มีการเรียกนายสกุลธร มาสอบปากคำด้วย ดังนั้น ในการดำเนินคดี จึงไม่ปรากฏชื่อของนายสกุลธรอยู่ในสำนวนเลย กระทั่งบัดนี้หลังจากมีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์กันให้แซ่ด กองปราบปราม อาจจะเรียกนายสกุลธร มาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ 

ตามการแถลงไขของ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผู้บังคับการกองปราบปราม ตอบข้อสงสัยของสังคมโดยไล่เรียงว่า กองปราบปราบได้แยกดำเนินคดีเป็นสองคดีมาตั้งแต่ต้น ระหว่างผู้ให้สินบนกับตัวกลางเรียกรับสินบน ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ส่งสำนวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาสองคนคือ นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ  เจ้าหน้าที่โครงการพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และ  นายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช เจ้าหน้าที่เอกชนรายหนึ่ง ที่เป็นตัวกลางเรียกรับสินบนไปก่อน เพื่อจะได้นำข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นอันยุติในชั้นศาลมาเป็นพยานหลักฐานต่อไป

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
กองปราบปราม ได้สืบสวนสอบสวนคดีให้สินบนมาโดยตลอด เพราะต้องการให้คดีมีความละเอียดรอบคอบมากที่สุด สิ่งที่สำคัญและใช้เวลา คือการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้กระทำผิดและคนใกล้ชิดว่าจะเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่บ้างหรือไม่ ตอนนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ขอเวลาทำงานอีกระยะหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด จึงจะระบุได้ว่ามีการกระทำผิดอย่างไร ใครร่วมกระทำความผิดบ้าง

แต่เมื่อถามย้ำว่า จะเรียกนายสกุลธรมาแจ้งข้อกล่าวหาในเร็วๆ นี้หรือไม่ พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวเพียงว่า ยังไม่มีการเรียกผู้ใดมาสอบสวนหรือแจ้งข้อหา

ทางด้านอัยการที่ถูกพาดพิงว่าทำไมถึงไม่สั่งฟ้อง  นายอิทธิพร แก้วทิพย์  โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วยคณะ แถลงชี้แจงหลังตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงที่มาที่ไปเป็นฉากๆ โดยสรุปรวมความได้ว่า สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ทราบข้อเท็จจริงจึงมอบอำนาจให้ “นายอิศรา จารุวณิชกุล” ดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาทั้งสองดังกล่าว โดยในส่วนของนายสกุลธร พนักงานสอบสวนไม่ได้ตั้งเป็นผู้ต้องหา แต่ได้สรุปในรายงานการสอบสวนว่าจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อนายสกุลธรตามกฎหมายต่อไป

 นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า สำนวนของนายสกุลธร อยู่ในระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวนว่าเป็นความผิดทางอาญาฐานให้สินบนหรือไม่ ซึ่งไม่ได้อยู่ในอำนาจของอัยการ เป็นขั้นตอนของเจ้าพนักงานในแต่ละส่วน โดยในชั้นนี้ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยว่าเป็นความผิดหรือไม่ ดังนั้น การที่มีข่าวออกมาว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องนายสกุลธรนั้นจึงเป็นข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน


ชำแหละ เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์
จาก “แม่” สู่ “น้องทอน”

ระหว่างที่มีการยื้อๆ ลากๆ กันไป มาเจาะบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ของน้องชายนายธนาธรสักเล็กน้อย

ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัทดังกล่าว จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 17 มกราคา 2548 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 100 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มทุนเป็น 900 ล้านบาทเมื่อปี 2550 โดยบริษัทเปลี่ยนชื่อจากเดิมชื่อ  บริษัท อีสเทิร์น ฮิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี่คลับ จำกัด  ที่มี  นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ  เป็นกรรมการผู้ก่อตั้ง และย้ายสำนักงานจากจังหวัดฉะเชิงเทรา มาที่อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ถนนเพชรบุรี แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. บริษัทนี้เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมทุกประเภททั้งบ้านเดี่ยว โฮมออฟฟิศ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม

 สำหรับผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2563 ประกอบด้วย นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ 28% นางสาวชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นางสาวรุจิรพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในสัดส่วนคนละ 18% แจ้งงบการเงินรอบปี 262 รายได้รวม 1,745 ล้านบาท กำไรสุทธิ 151 ล้านบาท, ปี 2561 รายได้ 2,171 ล้านบาท กำไรสุทธิ 293 ล้านบาท, ปี 2560 รายได้ 1,792 ล้านบาท กำไรสุทธิ 151 ล้านลาท บริษัทนี้มีการลงทุนในกิจการเครือไทยซัมมิทที่เกี่ยวข้องกันหลายแห่ง เช่นเดียวกันกับนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีชื่อเป็นกรรมการเครือไทยซัมมิท 51 บริษัท เลิกดำเนินการแล้ว 7 บริษัท  


เมื่อกล่องแพนโดร่าถูกเปิดออกมาแล้ว แนวโน้มงานนี้ ดูท่าน้องชายธนาธร ยากจะหนีพ้นบ่วงกรรม และต้องติดตามดูกันต่อไป.


กำลังโหลดความคิดเห็น