ผู้จัดการรายวัน360 - “วัชระ” ร้อง ผบ.ตร. ฟันลูกน้องกรณีไม่สั่งฟ้องน้องชาย “ธนาธร” ติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ 20 ล้านบาท แลกสิทธิ์เช่าที่ดินระยะยาวย่านชิดลม พร้อมขอให้มีคำตอบที่ชัดเจนให้สังคมโดยเร็ว เพื่อรักษาไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้ถูกทำลายด้วยเงินนายทุน “นิพิฏฐ์” จี้อัยการชี้แจง หวั่นซ้ำรอยคดี “บอส กระทิงแดง” ด้านกองปราบจ่อแจ้งข้อหา “สกุลธร” คดีจ่ายสินบน หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเพิกเฉย
วานนี้ (7 ธ.ค.) นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่าน พ.ต.อ.นันพิเดช ศรีเขียวรัตน์ ผู้บังคับการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ขอให้ดำเนินการสอบสวนร้อยเวรเจ้าของคดี และผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล ผู้รับผิดชอบสำนวนคดีว่า เหตุใด จึงไม่มีการสั่งฟ้องนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กรณีที่มีการให้เงินเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 20 ล้านบาท แลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาว บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ย่านชิดลม ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยไม่ผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ
นายวัชระกล่าวว่า เรื่องนี้ประชาชนสนใจกันมาก เพราะเกิดความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงชัดขนาดนี้ จึงต้องสอบถามแทนประชาชนว่าเหตุใดพนักงานสอบสวน จึงไม่สั่งฟ้องนายสกุลธร เพราะเกรงว่าอาจจะซ้ำรอยกรณีคดี “บอส กระทิงแดง” ดังนั้น ผบ.ตร. จะต้องมีคำตอบให้สังคมอย่างชัดเจนโดยเร็วที่สุด เพื่อรักษาไว้ซึ่งกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้ถูกทำลายด้วยเงินของนายทุน
“ขอให้ ผบ.ตร. สอบสวนพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี และผู้กำกับการสถานีตำรวจผู้รับผิดชอบว่าเหตุใดจึงสั่งไม่ฟ้องนายสกุลธร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการทางกฎหมายต่อนายสกุลธรอย่างไร”นายวัชรกล่าว
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว สรุปความว่า หลังอ่านคำพิพากษา มีความเห็นทางวิชาการว่า ตามคำฟ้องและคำพิพากษา ศาลใช้คำว่า สำนักงานทรัพย์สินฯ นายสกุลธร และประชาชนเป็นผู้เสียหาย จึงฟังได้ว่านายสกุลธร ถูกเจ้าหน้าที่หลอก จึงเป็นผู้เสียหาย แต่ต่อมานายสกุลธร เกิดอยากเช่าที่ดิน แต่ต้องเช่าโดยไม่ผ่านการประมูลปกติ จึงจ่ายเงินผ่านคนกลางไป 3 งวด 20 ล้านบาท ในตอนนี้ ศาลวินิจฉัยโดยใช้คำว่าทำให้สำนักงานทรัพย์สินฯ และประชาชนได้รับความเสียหาย ตัดคำว่า นายสกุลธรเป็นผู้เสียหายออกไป จึงฟังได้ว่า นายสกุลธร ให้เงินเจ้าหน้าที่เพื่อติดสินบนโดยไม่ต้องการประมูลตามวิธีปกติ อีกทั้งศาลลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 โดยวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นตัวกลางในการเรียกรับสินบน” ดังนั้น เงิน 20 ล้านก็อนุมานได้ว่า คือเงินสินบนเพื่อไม่ต้องเข้าประมูลด้วยวิธีการปกตินั่นเอง
“ผมมีความเห็นทางกฎหมาย ว่า อัยการต้องชี้แจงว่า เมื่อตอนท้ายของคำฟ้องและคำพิพากษา ที่มีการจ่ายเงิน 20 ล้าน ไม่ได้ระบุว่านายสกุลธร เป็นผู้เสียหายอีกต่อไป แต่ฟังได้ว่า เป็นผู้ให้เงินจำนวนนี้ เพื่อติดสินบนเจ้าพนักงาน เหตุใด อัยการจึงไม่แจ้งข้อกล่าวหานายสกุลธรว่าร่วมกันให้สินบนเจ้าพนักงาน อันนี้ จะซ้ำรอยคดีกระทิงแดงหรือเปล่า และสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างโปร่งใส เอาจริงเอาจัง เห็นควรให้กลุ่มราษฎรชื่นชมในความโปร่งใสบ้าง และถือว่านี่คือการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหนึ่ง และเป็นการปฏิรูปที่ไม่ต้องมีใครมาชุมนุมเรียกร้อง ถ้าเราไม่มีอคติ หรือมีเจตนาแอบแฝงในเรื่องอื่น ผมหวังจะได้คำชมจากกลุ่มราษฎร และกลุ่มผู้ชุมนุมบ้าง เล็กน้อยก็ยังดีครับ”นายนิพิฎฐ์กล่าว
วันเดียวกันนี้ สำนักข่าวอิศรา ได้รายงานว่าได้รับการยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ว่า การสอบสวนคดีนี้กองปราบปรามฯ ได้ดำเนินการสอบสวนในทางลับตั้งแต่ปี 2560 จนได้ข้อมูลการกระทำผิดที่ชัดเจนของเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ รายดังกล่าว จึงเชิญสำนักงานทรัพย์สินฯ มาเพื่อแจ้งความดำเนินคดี โดยระหว่างการสอบสวนคดีนี้ มี พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม (ยศขณะนั้น ปัจจุบันยศ พล.ต.ต. ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปรามฯ) เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ในระหว่างนั้นมีการถกเถียงว่า จะดำเนินคดีกับนายสกุลธรหรือไม่ ในฐานะผู้ใช้ หรือผู้จ้างวาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดไม่มีการดำเนินคดีกับนายสกุลธร และไม่มีการเรียกนายสกุลธรมาสอบปากคำด้วย เพราะพยานเอกสารหลักฐานมีเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ รายนั้น ดังนั้น ในการดำเนินการ หรือดำเนินคดีนี้ จึงไม่ปรากฏชื่อของนายสกุลธรอยู่ในสำนวนเลย แต่ภายหลังมีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์กรณีดังกล่าวว่าทำไมถึงไม่มีการดำเนินคดีกับนายสกุลธร กองปราบปรามฯ จึงมีการหารือกันในเรื่องนี้ และเห็นว่า อาจมีการเรียกนายสกุลธร เพื่อมาแจ้งข้อกล่าวหาในคดีนี้แล้ว