โฆษกอัยการแจงสำนวนคดีจ่ายเงิน 20 ล้าน ติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ นั้น พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหา “สกุลธร” คาดว่าจะรวบรวมหลักฐานในเร็วๆ นี้
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (9 ธ.ค.) นายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วยนายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์, นายประยุทธ เพชรคุณ, นางสันทนี ดิษยบุตร และนายจิตภัทร พุ่มหิรัญ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงชี้แจงกรณีมีการเสนอข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้องและไม่ดำเนินคดีนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว ขอชี้แจงว่า กรณีการเสนอข่าวดังกล่าวยังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง โดยขอชี้แจง ดังนี้
1. คดีนี้สืบเนื่องจากสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 4 ได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม (สำนักงาน ป.ป.ช.มีหนังสือแจ้งพนักงานสอบสวน โดยมอบหมายให้ทำการสอบสวนคดีนี้ต่อไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 61 วรรค 2) เมื่อวันที่ 24 มษายน 2562 คดีระหว่างนายอิศรา จารุวณิชกุล ผู้กล่าวหา นายประสิทธิ์ ภัยพลชาญ ผู้ต้องหาที่ 1 นายสุรกิจ ตั้งวิทวนิช ผู้ต้องหาที่ 2 โดยกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสองว่าร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม และร่วมกันเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ เหตุเกิดช่วงเดือนมีนาคม-พฤศจิกายน 2560 ต่อเนื่องกัน ในท้องที่แขวงดุสิต เขตดุสิต และแขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง
2. พนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองโดยข้อเท็จจริงทางคดีได้ความว่า ผู้ต้องหาทั้งสองได้ร่วมกันปลอมหนังสือราชการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 2 ฉบับ แล้วนำไปใช้แสดงต่อนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีที่ดินจะให้เช่าเพื่อทำธุรกิจจำนวน 2 แปลง จนนายสกุลธรตกลงว่าจ้างและได้จ้างผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้แทนดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ในวงเงินสัญญาจ้าง 500 ล้านบาท และได้จ่ายเงินให้แล้วบางส่วน จำนวน 3 ครั้ง เป็นจำนวน 20 ล้านบาท สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทราบข้อเท็จจริงจึงมอบอำนาจให้นายอิศรา จารุวณิชกุล ดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาทั้งสองดังกล่าว โดยในส่วนของนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ พนักงานสอบสวนไม่ได้ตั้งเป็นผู้ต้องหา แต่ได้สรุปในรายงานการสอบสวนว่าจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อนายสกุลธรตามกฎหมายต่อไป
ด้านนายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ข้อเท็จจริงในคดีมีผู้ต้องหา 2 คนที่เกี่ยวข้องกับนายสกุลธร โดยอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองในความผิดฐานเรียกรับสินบน ส่วนนายสกุลธรอยู่ในฐานะพยาน แต่เมื่อปรากฏข้อมูลในศาลว่านายสกุลธรอาจไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนก็ได้ตั้งสำนวนอีก 1 คดี และกำลังดำเนินการสอบสวนพฤติการณ์ของนายสกุลธรมีความผิดฐานให้สินบนหรือไม่ ซึ่งอัยการยังไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้ ถ้าพนักงานสอบสวนทำสำนวนเสร็จและส่งให้อัยการแล้ว อัยการจึงสั่งสอบเพิ่มเติมได้ ดังนั้น ตามที่ปรากฏข่าวว่าอัยการไม่ดำเนินคดีหรือไม่สั่งฟ้องนายสกุลธรนั้นไม่เป็นความจริง
“ตำรวจกำลังสอบสวนตามขั้นตอนอย่างอิสระเช่นเดียวกับอัยการ เราจะไม่ลงไปสอบถาม ซึ่งจะใกล้เคียงกับการล้วงลูก เราจะไม่ทำเช่นนั้น” นายชาญชัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการสอบถามไปยังพนักงานสอบสวนหรือไม่ว่าปัจจุบันดำเนินการถึงไหน นายชาญชัย กล่าวว่ากระบวนการสอบสวนของตำรวจมีขั้นตอนเป็นอิสระ และเป็นคนละส่วนกับอัยการ ซึ่งอัยการไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายล้วงลูกได้ แต่สุดท้ายแล้วผลการสอบสวนของตำรวจจะต้องจะส่งมาให้อัยการทำความเห็นเช่นกัน
เมื่อถามว่าคำพิพากษาของศาลในสำนวนแรกสามารถใช้เป็นหลักฐานเอาผิดนายสกุลธรได้หรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า ศาลวินิจฉัยได้เท่าที่มีการกล่าวหาหรือฟ้องร้องกัน ส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้นพนักงานสอบสวนกำลังทำการสอบสวนอยู่ และไม่สามารถนำคำพิพากษามาเป็นส่วนหนึ่งของพยานได้ แต่ข้อเท็จจริงเดียวกันสามารถตามพยานที่ปรากฏมารวบรวมพยานหลักฐานได้
ส่วน นายประยุทธ กล่าวว่า ข่าวที่ปรากฏว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องนั้น นายสกุลธรยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในสำนวน หากจะถามว่าทำไมไม่แนะนำให้สอบเพิ่ม เนื่องจากพนักงานสอบสวนกำลังดำเนินการ เราไม่สามารถก้าวก่ายได้ และประการสำคัญคำพิพากษาของศาลมีจำเลยเพียงแค่ 2 คน ซึ่งจำเลยรับสารภาพ จึงไม่มีการสืบพยาน ดังนั้น สำนวนคดีใหม่จะไม่อยู่ในคำพิพากษา