นอกจากไม่คิดยอมรับ “ความพ่ายแพ้” อย่างเป็นทางการ จนแม้ตราบเท่าทุกวันนี้ ชนิดแทบทำให้ประเทศอภิมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลก ใกล้จะกลายเป็น “สาธารณรัฐกล้วย” ดังที่อาจารย์ “สุดาทิพย์ อินทร” ท่านได้แสดงความคิด ความเห็น เอาไว้ในคอลัมน์ “รู้-เท่าทันโลก” ทางเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจ และน่าจับตาเอามากๆ สำหรับความเคลื่อนไหวของรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” นับจากนี้ ก็คือความพยายามกดดัน ควบคุม และบงการ ตลอดไปจนสร้างอุปสรรคกีดขวางต่างๆนานา เพื่อให้รัฐบาลใหม่ของ “ผู้เฒ่าโจ” หนีไม่พ้นต้องเดินตามรอยเท้าของตัวเอง อย่างเซื่องๆ ซึมๆ หรือซึมๆ เซาๆ ก็แล้วแต่โดยมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น ถึงขนาดสื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” ต้องออกมาสรุปว่า... “Trump team aims to control White House” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
คือเหตุที่ทำให้คุณพี่จีน ถึงกับต้องออก “งิ้ว” กันในลักษณะนี้...เพราะไม่เพียงแต่ช่วงปลายๆ รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” จะแสดงให้เห็นถึงความพยายามใส่เกียร์ห้าเดินหน้า “ต่อต้านจีน” ในแทบทุกเรื่อง ทุกกรณี ไม่ว่าการลดอายุวีซ่าการเข้าประเทศอเมริกาของบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน จาก 10 ปี ให้เหลือแค่ 1 เดือนเท่านั้นเอง การขึ้น “บัญชีดำ” บริษัทผลิตชิปอย่าง “SMIC” ไปจนถึงบริษัทผลิตน้ำมันอย่าง “CNOOC” อย่างเป็นระบบและกิจการ ผู้ที่อาจถือเป็น “หัวหน้าสายลับ” หรือผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของทำเนียบขาว อย่าง “นายJohn Ratcliffe” ยังออกมาพูดจา ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ “Fox News” ตลอดไปจนส่งข้อเขียน บทความ ไปเผยแพร่ยังหนังสือพิมพ์ “The Wall Street Journal” ในลักษณะที่หนักซะยิ่งกว่าพวก “IO” ของรัฐบาล “บิ๊กตู่” ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า หรือหวังแพร่กระจายโรคระบาด “Sino-Phobia” ในสังคมอเมริกัน ซึ่งสำนักวิจัย “Pew Research” เพิ่งสรุปว่า เต็มไปด้วยพวกติดเชื้อ “โรคกลัวจีน” ถึง 73 เปอร์เซ็นต์ ให้งอมๆ แงมๆ หนักขึ้นไปอีก...
เรียกว่า...ไม่เพียงแต่ออกมาเน้น มาย้ำ ให้ใครต่อใครเห็นว่า “พญามังกรจีน” คือ “ภัยคุกคามต่อเสรีภาพและประชาธิปไตย” ชนิดหนักหนาสาหัสที่สุด นับแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แต่ยังไปไกลถึงขั้นตั้งข้อกล่าวหาประเทศคอมมิวนิสต์ประเทศนี้ ว่ากำลังพยายาม “ทดลองทางชีวภาพ” กับมนุษย์ตัวเป็นๆ เพื่อหวังสร้าง “นักรบพันธุ์พิเศษ” หรือ “Super Soldiers” คล้ายๆ สร้างพระเอกหนังฮอลลีวูดแบบ “กัปตันอเมริกา” ขึ้นมาต่อกรกับทหารอเมริกันโดยเฉพาะทำนองนั้น หรือแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ในระดับที่บทบรรณาธิการ “Global Times” ถึงกับต้องใช้คำว่า “They want to make the incoming administration another Trump one, but with a Biden mask” หรือต้องการให้รัฐบาลใหม่อเมริกา ออกอาการ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ตามแบบฉบับทรัมป์ๆ ภายใต้หน้ากากของ “โจ ไบเดน” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ดังนั้น...โอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ใน “แนวรบด้านทะเลจีนใต้” มาถึงขั้นนี้...คงต้องยอมรับว่า ไม่น่าจะ “ง่าย” กันสักเท่าไหร่แม้ “ผู้เฒ่าโจ” ท่านเคยเปิดเผยความในใจว่าจีนเป็นเพียงแค่ “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “ภัยคุกคาม” ก็ตามที เช่นเดียวกับ “แนวรบด้านตะวันออกกลาง” นั่นแหละ แม้ว่าล่าสุด...ว่าที่ประธานาธิบดีรายใหม่ จะออกมาส่งสัญญาณในเชิงบวก หรือในแง่ที่ออกไปทางสร้างสรรค์มิใช่น้อย ระหว่างการให้สัมภาษณ์คอลัมนิสต์ “The New York Times” ว่าอยากกลับไปเจรจาเรื่องปัญหานิวเคลียร์กับอิหร่านรอบใหม่ หรือกลับไปสู่การเริ่มต้นรื้อฟื้นข้อตกลง “JCPOA” (The Joint Comprehensive Plan of Action) ที่รัฐบาล “โอมาบ้า” ได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับประเทศมหาอำนาจอย่างจีน รัสเซีย อังกฤษ เยอรมันและฝรั่งเศส แต่จู่ๆ รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ดันสะบัดตูดลุกหนีเอาดื้อๆ แต่ด้วยความพยายามสร้างอุปสรรคขัดขวางต่างๆ นานา ถึงขั้นลงมือลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่านไปเมื่อวัน-สองวันนี้ ทำให้ตัว “ผู้เฒ่าโจ” เอง...ก็อดไม่ได้ที่ต้องยอมรับว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”...
โดยเฉพาะถ้าหากต้องย้อนกลับไป “เจรจา” กันใหม่ หรือต้องเกิดการเพิ่มเงื่อนไข ข้อตกลง ให้ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม อันเป็นสิ่งที่ฝ่ายอิหร่านได้แสดงท่าทีปฏิเสธไปแล้วอย่างเป็นทางการ อีกทั้งถ้ายังไม่มีการ “ยกเลิกการแซงชั่น” ต่ออิหร่านในทุกเรื่อง ทุกกรณี อันไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจอิหร่านเท่านั้น แต่ยังลามปามไปถึงการห้ามไม่ให้ส่งยาและเวชภัณฑ์ใดๆ ไปยังประเทศอิหร่าน ที่สะท้อนถึงความไม่สนใจไยดี ต่อชะตากรรมของมวลมนุษยชาติ ผู้ดันเกิดเป็นชาวอิหร่านเท่านั้นเอง และต้องตกเป็นเหยื่อเชื้อไวรัส “COVID-19” ไม่ต่างไปจากพลโลกทั้งหลายในทุกวันนี้ ดังนั้น...ด้วยเงื่อนไข ข้อขัดแย้ง ที่ถูกทำให้พอกพูนมาตลอด 4 ปีของ “ทรัมป์บ้า” โอกาสที่ “ผู้เฒ่าโจ” จะกลับไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้แตกต่างไปจากเดิม ออกจะยากเย็นแสนเข็ญ พอๆ กับการเข็นภูเขาขึ้นครก หรือจูงอูฐรอดรูเข็ม อะไรประมาณนั้น...
ส่วน “แนวรบยุโรปตะวันออก” กับรัสเซีย...เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หรือสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง เลขาธิการกองกำลัง “นาโต” อย่าง “นายJens Stoltenberg” ที่อาจจัดอยู่ในประเภทสุนัขพูเดิลสายพันธุ์นอร์เวย์ ก็ได้ออกมากล่าวหาหมีขาวรัสเซียเมื่อช่วงวันอังคาร (1 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ว่าถือเป็น “ภัยคุกคาม” ที่หนักหนาสาหัสเอามากๆ ต่อผลประโยชน์ของบรรดาประเทศตะวันตกตั้งแต่แอตแลนติกไปยันแถบอาร์กติก หรือ “ในระยะยาวไปจนถึงปี ค.ศ. 2030 เป็นอย่างน้อย...รัสเซียก็ยังคงเป็นภัยคุกคามทางทหารต่อบรรดาพันธมิตรแอตแลนติกเหนือ” ทั้งนั้น ทั้งนี้...ก็เพื่อเรียกร้องและเร่งเร้าให้เกิดการเพิ่มปฏิบัติการทางทหารภายในอาณาบริเวณคาบสมุทรไครเมียและทะเลดำ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ นั่นยังไม่รวมไปถึงการต่อต้านโครงการวางท่อแก๊ส “Nord Stream 2” ที่จะเริ่มกลับมาดำเนินการตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ไปจนถึงการหาทางหักโค่น ทำลายล้าง รัฐบาล “Lukashenko” เพื่อเขยิบแนวรุกของ “นาโต” เข้าไปจรดพรมแดนสุดท้ายของรัสเซีย โดยอาศัย “การปฏิวัติสี” หรืออาศัยการก่อม็อบของบรรดา “คณะราษฎร์แห่งเบลารุส” นั่นแหละ เป็นเครื่องมือ...
สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” จะยอมแพ้-ไม่ยอมแพ้ หรือไม่ว่าประธานาธิบดีรายใหม่อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” จะกลายสภาพเป็น “โจซึมเซา” หรือ “โจวิตถาร”หรือไม่ เพียงใด ก็ตามที แต่รัฐบาลอเมริกันภายใต้การบริหารจัดการของพรรครีพับลิกัน หรือพรรคเดโมแครตก็เถอะ ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นต้องดำเนินนโยบายและวิถีทางไปตามความปรารถนาและต้องการของ “Deep State” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น โดยที่บรรดาชาวโลกทั้งหลาย มีสิทธิ์แต่เพียงต้องเลือกดื่ม “เป๊ปซี่” ไม่ก็ “โคคา-โคล่า” เท่านั้นเอง จะไปหาน้ำสะอาดๆ หรือน้ำผลไม้ยี่ห้ออื่น ที่ไม่ใช่ “น้ำดำ” นั้น แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
ด้วยเหตุนี้...การหาทางประคับประคองตัวเอง ไม่ให้ต้องไหลไปเข้าทางเท้า เข้าทางตีน ของคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ จึงถือเป็นเรื่องที่คงต้องเตรียมรับไม้ รับมือ ไว้ซะแต่เนิ่นๆ เพราะขนาดยังไม่ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลแบบเต็มเนื้อ เต็มตัว บรรดาวุฒิสมาชิกและคณะกรรมาธิการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาแสดงความเรียกร้อง ต้องการ ได้ยื่นมติ 5 ข้อให้กับรัฐบาลไทย ในการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมประท้วง หรือบรรดาคณะลาบ-คณะราษฎร์ทั้งหลาย ชนิดไม่ต่างไปจากการยื่นบัตร “สมาชิกสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” อะไรประมาณนั้น โดยเฉพาะการ “โชว์โง่” ด้วยคำพูดที่ว่า...“นักปฏิรูปในประเทศไทย ไม่ได้ต้องการการปฏิวัติ พวกเขาเพียงต้องการเปลี่ยนระบอบการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย เรียกร้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุม และทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมประชาธิปไตย”...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...พร้อมที่จะให้การสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง“ราชอาณาจักรไทย” ไปสู่ความเป็น “สาธารณรัฐ” หรือ “สหพันธรัฐ” เปลี่ยนระบบการเมือง-การปกครองจาก “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ไปสู่ “ระบอบประธานาธิบดี” หรือไปสู่การหนีไม่พ้นต้องเลือก “ทรัมป์บ้า” ไม่ก็ “โจซึมเซา” ไปตามสภาพ อันเป็นข้อเรียกร้องที่บรรดาพวกเด็กๆ ทั้งหลาย ได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง ในเว็บไซต์คณะปลดแอก เมื่อไม่กี่วันมานี้...นั่นแล...