จะด้วยชื่อ ฉายา ที่หนักไปทางงูเงี้ยว เขี้ยวขอ ด้วยความเป็น “พญามังกร” หรือด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่...แต่คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า มหาอำนาจรายใหม่ ผู้ซึ่งกำลังผงาดขึ้นเป็น “เบอร์หนึ่ง”ของโลก (ทางเศรษฐกิจ) ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล อย่างคุณพี่จีนนั้น ท่านช่างมีขีดความสามารถในการลอดเลื้อย โอบกระหวัด รัดพัน อย่างชนิดน่าตื่นตะลึงเอามากๆ!!!
พูดง่ายๆ ว่า...ตลอดช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการเลื้อยไป-เลื้อยมา ชำแรกแทรกซึมเข้าไปตลอดทั่วอาณาบริเวณแทบจะทุกซีกโลก ไม่ว่าเอเชียกลาง เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา ละตินอเมริกา ไปจนถึงมุดเข้าไปในยุโรปตะวันออก ฯลฯ กระหวัด รัดพัน อดีตอภิมหาอำนาจในยุโรป มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา อย่างชนิดหายใจ-หายคอแทบไม่ทัน ได้ทำให้มาถึงทุกวันนี้ หรือเมื่อ ณ ขณะนี้ แม้ว่าพลังอำนาจด้านอื่นๆ อย่างเช่น “พลังอำนาจอย่างแข็ง” (Hard Power) หรือพลังอำนาจทางทหาร ยังคงมิอาจเทียบชั้น เทียบเชิงคุณพ่ออเมริกาได้เลยแม้แต่น้อย เพิ่งมี “เรือบรรทุกเครื่องบิน” แค่ลำ-สองลำเท่านั้นเอง มีฐานทัพนอกประเทศแห่งเดียว อยู่แถวๆ จงอยแอฟริกา แต่ถ้าว่ากันโดย “พลังอำนาจอย่างอ่อน” (Soft Power) หรือพลังอำนาจทางเศรษฐกิจแล้ว ใครก็ตามที่คิดจะ “ปิดล้อมจีน” หรือ “กีดกันจีน” ออกไปจากสารบบ ย่อมเป็นอะไรที่แทบ “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” เอาเลย...
นี่ขนาดเพิ่งลงนาม...เซ็นสัญญาบรรลุข้อตกลงกับ 10 ประเทศอาเซียน ก่อให้เกิดพื้นที่เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน กว้างขวางใหญ่โตระดับ 30 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก รวมประชากรไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของโลก ที่เรียกขานกันในนาม “RCEP” หรือ “Regional Comprehensive Partnership Agreement” ไปหมาดๆ แต่ในช่วงระหว่างการประชุมผู้นำ “APEC” ครั้งล่าสุด หรือครั้งที่ 27 เมื่อวัน-สองวันมานี้ ผู้นำระดับสูงของคุณพี่จีน ท่านก็ได้เริ่ม “แบะท่า” ขึ้นมามั่งแล้ว ว่าพร้อมที่จะเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับเขตการค้าที่เคยมีจุดมุ่งหมายแต่แรกเริ่มเดิมที หวังที่จะ “ปิดล้อมจีน” หรือ “กีดกันจีน” กันโดยเฉพาะ นั่นก็คือข้อตกลงการค้า “CPTPP” หรือ “Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership” ที่คุณพี่ยุ่นปี่ ได้พยายามนำเอามาตกแต่ง ต่อยอด หลังจากที่รัฐบาลอเมริกันของ “ทรัมป์บ้า” ได้ถีบหัวเรือส่ง หรือได้ถอนไปจากข้อตกลงเดิมๆ ที่เรียกว่า “TPP” หรือ “Trans-Pacific Partnership” ซึ่งรัฐบาล “โอมาบ้า” ได้พยามยามประดิษฐ์คิดค้น ดีไซน์และออกแบบ เพื่อให้กลายเป็นตัวปิดล้อมจีนและกีดกันจีน กันโดยเฉพาะนั่นเอง...
และย่อมแน่นอนนั่นแหละว่า...ถ้าหากคุณพี่จีนท่านโดดเข้าร่วมกับข้อตกลง “CPTPP” ที่มีคุณพี่ยุ่นปี่เป็นหัวหอก หรือมีอัตราส่วนจีดีพีเกือบครึ่งหนึ่งของเขตเศรษฐกิจการค้า 11 ประเทศร่วมมือกัน โดยที่ 7 ใน 11 ประเทศนั้น ต่างอยู่ใน “RCEP” ไปแล้วด้วยกันทั้งนั้น แล้ว...จะมีอะไรเหลือ??? ให้กับการคิด หรือกับแนวคิดในการต่อต้าน ปิดล้อมจีนอีกต่อไป แม้ว่าชายชราอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” ที่กำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ ท่านพยายามพูดแบบงึมๆ งัมๆ เข้าไว้ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาประมาณว่า ในฐานะอเมริกามีส่วนแบ่งการค้าอยู่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก ยังไงๆ...อเมริกาคงต้องหาทางจับมือกับบรรดาประเทศพันธมิตร แล้วจัดตั้งเขตการค้า หรือกฎเกณฑ์ทางการค้า อันมีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
แต่ก็นั่นแหละ...จะไปควานหา คุ้ยหาบรรดา “พันธมิตร” จากที่ไหน ถ้าหากคุณพี่จีนท่านลากเลื้อย ลอดเลื้อย เข้าไปโอบกระหวัด รัดพัน ทั้ง “RCEP” และ “CPTPP” แบบมิอาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปเป็นอื่น นอกเสียจากต้องพยายามอยู่ร่วมกับงูอนาคอนดาให้จงได้ อะไรประมาณนั้น เพราะอย่างที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ “นายลี เซียนลุง” ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “Bloomberg” ไปเมื่อสองวันก่อนนั่นแหละว่า... “ไม่มีประเทศมากนักหรอก ที่ต้องการจะร่วมมือกับประเทศที่มีพื้นฐานในการกีดกันผู้อื่น โดยเฉพาะการกีดกันประเทศที่ความสำคัญทางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างประเทศจีน” ด้วยเหตุนี้...การต่อต้าน ปิดล้อม หรือการสาดส้นมือ ส้นตีน สาดสากกะเบือบินเข้าใส่ประเทศมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างเป็นระบบและกิจการ ของรัฐบาลอเมริกันในยุค “ทรัมป์บ้า” ไม่ว่าการเปิดฉากสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี ไปจนใกล้ๆ จะเป็นสงครามเย็นยุคใหม่ กับประเทศจีน จึงค่อนข้างได้รับการจับตา จากบรรดานักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่โดยทั่วไป ว่าน่าจะมีความเปลี่ยนแปลง หรือมีการผ่อนคลายลงไปบ้าง ไม่มากก็น้อย ในยุคของ “ผู้เฒ่าโจ” ที่อาจต้องกลายสภาพไปเป็น “โจซึมเซา” หรือ “โจวิตถาร”ต่อไปในภายภาคหน้า หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที...
หรืออย่างที่นักสังเกตการณ์ระดับอดีตเอกอัครราชทูตอินเดีย “นายเอ็ม.เค. ภัทรกุมาร” (M.K. Bhadrakumar) ท่านตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Biden will reset US’ China Policies” ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาได้นำมาแปลและถ่ายทอดไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ คืออย่างน้อย...ก็อาจต้องเกิดการ “ผ่อนคลายความตึงเครียดระดับเล็กๆ” (mini-détente) กันเอาไว้มั่ง แต่จะไปถึงขั้น...การงัดเอายุทธศาสตร์ หรือแนวคิดในยุค “สงครามเย็น” เมื่อครั้งพระเจ้าเหายังเพิ่งใส่กางเกงหูรูด หรือยุคเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ยุคที่คุณปู่ “เฮนรี คิสซิงเจอร์” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศยุค “นิกสัน” ยังคงมีบทบาทอยู่ในแนวคิดด้านยุทธศาสตร์ หรือในวิเทโศบายต่างประเทศของอเมริกัน ที่เรียกๆ กันว่า “ความสัมพันธ์แบบ 3 เส้า” หรือความสัมพันธ์ที่มีมหาอำนาจ 3 ราย อย่างอเมริกา รัสเซีย และจีน เป็นองค์ประกอบไปโดยตลอด กลับมาใช้ใหม่ รีวายน์ใหม่ หรือไม่ ประการใดนั้น ก็ยากที่จะสรุปได้ชัดเจน...
เพราะยุคนี้ สมัยนี้ มันน่าจะเป็นหนังคนละเรื่อง คนละม้วน กับยุคเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว อย่างมิอาจปฏิเสธ หรือความพยายามที่จะ “ดึงจีน” ให้แยกออกจาก “รัสเซีย” ที่เคยใช้ได้ผลในยุค “สงครามเย็น” หรือยุคคุณปู่ “เฮนรี คิสซิงเจอร์” และอดีตประธานาธิบดี “นิกสัน” ยอมลงทุนไปตีปิงปองกับคุณพี่จีนกันถึงหัวกระไดบ้าน แต่เมื่อมาถึงยุคนี้ สมัยนี้ การคิดจะแยกจีนออกไปจากรัสเซีย หรือคิดแยกรัสเซียออกไปจากจีน ไม่ว่าจะด้วยกรรมวิธีใดๆ ก็ตาม ออกจะเป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์” เอามากๆ หรือแทบมองไม่เห็นความเป็นไปได้เอาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุเพราะ “โลกในอนาคตเบื้องหน้า” ที่ไม่ว่าทั้งจีนและรัสเซีย เขาต่างปรารถนาและต้องการที่จะเห็น หรือต้องการให้อุบัติขึ้นมาแทนที่ “โลกแห่งยุคอดีต” หรือโลกที่มีคุณพ่ออเมริกาเป็นจ้าวโลก เป็นประมุขโลก อันเป็นโลกที่ถูกปกครองด้วย “เผด็จการดอลลาร์”มาโดยตลอด ก็คือโลกที่ประกอบไปด้วย “ขั้วอำนาจอันหลากหลาย” หรือไม่ใช่ “ขั้วอำนาจเดียว” โดยเด็ดขาด!!!
และนั่นเอง...ที่ทำให้เกิดคำประกาศและคำอธิบายของผู้นำสูงสุดประเทศจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ต่อที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ช่วง 95 ปีแห่งการก่อตั้ง หรือเมื่อช่วง 4 ปีที่ผ่าน (ค.ศ.2016) ที่ตอกย้ำและเน้นย้ำเอาไว้อย่างชัดเจนว่า... “โลกกำลังอยู่ริมขอบเหวแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และเรากำลังได้เป็นประจักษ์พยานแห่งการล้มละลายของกลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่าง EU และได้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา จะล่มสลายลงไปอย่างไร และนี่เอง...ที่จะตัวบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ดังนั้น...ในช่วงเวลาอีกประมาณ 10 ปีนับจากนี้ เราจะมีโอกาสได้เห็นระเบียบโลกในอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ โดยมี...กุญแจสำคัญ...ที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาได้ นั่นคือ...ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับรัสเซีย...นั่นเอง” เพียงเท่านี้...ก็น่าจะพอเป็นคำตอบได้แล้วว่า โอกาสที่จะนั่ง “ไทม์ แมชชีน” เจาะเวลาหาอดีต ย้อนกลับไปเอาแนวคิดทางยุทธศาสตร์ยุคสงครามเย็นกลับมาใช้ใหม่ ย่อมเป็นอะไรที่ “ไม่เวิร์ค” อยู่แล้วแน่ๆ หรือแทบไม่เหลือ “ทางเลือก” ใดๆ ให้กับคุณพ่ออเมริกาอีกต่อไป นอกเสียจากต้องเลิกคิดเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก เพียงลูกเดียวเท่านั้นเอง!!!