xs
xsm
sm
md
lg

อันตราย...ของผู้เฒ่าโจ!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่
เห็นข่าวแวบๆ...ว่าผู้นำอเมริกาคนปัจจุบัน อย่าง “ทรัมป์บ้า” ท่านน่าจะเริ่มยอมรับขึ้นมามั่งแล้ว!!! ว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับชายชราอย่าง “โจ ไบเดน” แม้ยังคงยืนกรานว่า “ถูกโกง” ก็ตาม ส่วนข้อกล่าวหาในทางร้ายๆ ทำนองนี้ จะก่อให้เกิดความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตริษยา และชิงชัง จนต้องเกิดการลงมือ ลงตีน ระหว่างชาวอเมริกันด้วยกันเอง ในระดับไหนและอย่างไร อันนั้น...คงต้องคอยติดตามกันไปเป็นระยะๆ...

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...การผงาดขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำอเมริกาของ “ผู้เฒ่าโจ” คราวนี้ ส่งผลให้ “กูรู-กูรู้” ในบ้านเรา พยายามวิเคราะห์ และสังเคราะห์กันไปมิใช่น้อย โดยจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ อย่างไร คงต้องลองไปตรวจสอบดูอีกที แต่สำหรับ “กูรู-กูรู้” ระดับของจริงและของแท้ ที่ไม่เพียงแต่มีไหวพริบปฏิภาณคมกริบ ปานประดุจใบมีดโกนยิลเลตต์แบบทวิน แอคชั่น หรือแบบใบมีดคู่แต่เพียงเท่านั้น ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สุดแสนจะลุ่มลึก ลึกซึ้ง ในการมองโลก มองความเคลื่อนไหวด้านต่างประเทศแบบถึงลำไส้ ถึงริดสีดวงทวาร เอาเลยก็ว่าได้ นั่นคือ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” (Sergey Lavrov) ที่ได้สรุปไว้แบบสั้นๆ ง่ายๆ โดยแทบไม่ต้องไปเสียเวลาวิเคราะห์ เจาะลึก เจาะ-เกาะ-ติด ขยี้ข่าว ขย้ำข่าว อะไรกันมากมาย ด้วยการระบุไว้เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมาประมาณว่า...นโยบายต่างประเทศของโจ ไบเดน ก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากรัฐบาลโอมาบ้า (โอบามา) นั่นแหละ โดยเฉพาะเรื่อง “อิหร่าน” หรือเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ” จริง-ไม่จริง ก็ลองเก็บไปนั่งคิด นอนคิด กันดูอีกที...

แต่เอาเป็นว่า...แม้ว่านโยบายต่างประเทศอเมริกายุค “โอมาบ้า” นั้น ไม่น่าจะ “ประสบความสำเร็จ” อะไรมาก เผลอๆ อาจกลายเป็น “ความพ่ายแพ้” ของพวก “ลัทธิเสรีนิยมใหม่” อีกซะด้วยต่างหาก แต่ถ้าว่ากันตามคำพูดจาปราศรัยของผู้เฒ่ารายนี้ด้วยตัวเอง การหันมามองประเทศมหาอำนาจอันดับ 2 ทางเศรษฐกิจ อย่างประเทศจีนเป็น “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “ภัยคุกคาม” ก็คงต้องถือเป็นมุมมองที่ต่างไปจากยุค “ทรัมป์บ้า” มิใช่น้อย และนั่นเองที่น่าจะทำให้สีสันบรรยากาศการค้า การลงทุน การเงิน การทอง ฯลฯ ภายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือในระดับโลกทั้งโลก น่าจะไม่ถึงกับต้องอ้วกแตก-อ้วกแตน เหมือนอย่างยุค “ทรัมป์บ้า” ที่เล่นเอาประเทศเล็ก ประเทศน้อย แม้แต่ไทยแลนด์แดนสยาม ของหมู่เฮา ต้องกลายสภาพเป็น “หญ้าแพรก” ใต้ฝ่าตีนของพญาช้างสาร ชนิดแทบไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี จนตราบเท่าทุกวันนี้...

และภายใต้บรรยากาศที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ว่า...เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (15 พ.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง บรรดาประเทศอาเซียน 10 ประเทศ บวกกับประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกอีก 5 ประเทศ อันประกอบไปด้วยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ก็ได้บรรลุข้อตกลงในการลงนามร่วมเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ที่เรียกกันสั้นๆ ย่อๆ ว่า “RCEP” หรือ “Regional Comprehensive Economic Partnership” ไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว หลังจากเงื้อๆ ง่าๆ มาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว หรือหลังจากเคยคิดบรรลุข้อตกลงภายในปี ค.ศ. 2015 แต่ต้องเลื่อนมาลงนามในปี ค.ศ. 2020 กันแทนที่ ด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที แต่นั่นย่อมก่อให้เกิดพื้นที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ “ใหญ่ที่สุดในโลก” รวมบรรดาพลโลกไม่ต่ำกว่า 2.2 พันล้านคนหรือเกือบๆ ครึ่งโลก เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อันอาจถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ให้เห็นว่า บรรดาประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างไม่ปรารถนาและต้องการที่จะเลือกข้างหนึ่ง ข้างใด ไม่ว่าระหว่างคุณพ่ออเมริกา หรือคุณพี่จีน ก็แล้วแต่ เพียงต้องการทำมาค้าขายกันโดยปกติ ภายในโลกที่ไม่ได้มีมหาอำนาจขั้วหนึ่ง ขั้วใด มาชี้นิ้ว บงการ อีกต่อไป...

คือพูดง่ายๆ ว่า...ก่อนที่จะมี “RCEP” นั้น คุณพ่ออเมริกายุคประธานาธิบดี “โอมาบ้า” ผู้เป็นต้นแบบของคุณปู่ “โจ ไบเดน” รายนี้นี่แหละ ท่านเคยเกิด “ครีเอทีฟ ไอเดีย” ในการคิด “ปิดล้อมจีน” ไม่ว่าในระดับภูมิภาค หรือระดับทั่วทั้งโลก ด้วยการเสกสรรปั้นแต่ง ข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “TPP” หรือ “Trans-Pacific Partnership” ขึ้นมา เพื่อ “ถีบจีน” ออกจากวงจรกันโดยเฉพาะ แต่เพราะยัง “บ้าไม่พอ” หรือไม่ อย่างไรก็ตามที ผู้นำรายใหม่ที่ขึ้นมาแทนที่ “โอมาบ้า” อย่าง “ทรัมป์บ้า” เลยหันไป “ถอนตัว” ออกจากข้อตกลงดังกล่าวซะเฉยเลย ส่งผลให้บรรดาประเทศที่ยังคิดเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะญี่ปุ่น เลยหันไปแปลงรูปร่าง หน้าตา ให้กลายเป็น “CPTTP” หรือ “Comprehensive and Progressive Trans-Pacific Partnership” แต่นั่นก็ทำให้ความพยายามต่อต้านกีดกันจีน ก็ย่อมลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ เพราะบรรดาประเทศที่พร้อมจะลงนามในข้อตกลง “CPTTP” ไม่ว่าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ฯลฯ ต่างหันมายอมรับ ยอมร่วมลงนามในข้อตกลง “RCEP” หรือพร้อมที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ ภายใต้โลกที่เต็มไปด้วยขั้วอำนาจอันหลากหลายยิ่งเข้าไปทุกที...

หรือถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็นของ “นายWang Jiangyu” คอลัมนิสต์สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” การลงนามของ 10 ประเทศอาเซียนบวก 5 หรือบวกจีนเข้าไปด้วย ตามข้อตกลง “RCEP” นั้น ถือเป็นเครื่องหมายแสดงการสิ้นสุด ยุติของ “ลัทธิครองความเป็นจ้าว” ของคุณพ่ออเมริกา ในภูมิภาคตะวันตกของแปซิฟิก หรือ “RCEP will end US hegemony in West Pacific” เอาเลยถึงขั้นนั้น ด้วยเหตุนี้...แม้คุณพ่ออเมริกายุค “ผู้เฒ่าโจ” จะหันไปคว้าข้อตกลง “TPP” มาปัดฝุ่นใหม่ ก็น่าจะลำบากแล้ว หรือไม่น่าจะทันการณ์อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งการ “แข่งขัน” กับ “คู่แข่ง” อย่างจีนในช่วงระยะนี้ หรือนับจากนี้เป็นต้นไป ยังออกจะเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญเอามากๆ สำหรับประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก อย่างคุณพ่ออเมริกาชนิดแค่ไม่ใช่ต้องหายใจทางปาก แต่อาจต้องหันไป “หายใจทางเหงือก” กันแทนที่ เอาเลยก็ไม่แน่!!!

เพราะเศรษฐกิจจีนนับจากนี้ หรือหลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดของไวรัส “COVID-19” มาได้อย่างสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ออกจะเป็นอะไรที่มาแรงแซงโค้ง ซะเหลือเกิน เรียกว่า...ขณะที่ตัวเลขจีดีพีของใครต่อใคร “ติดลบ” กันไปเป็นแถบๆ แต่มีเฉพาะเศรษฐกิจจีนประเทศเดียวโลก ที่ยังโตได้ประมาณ 2.7 หรือไม่ก็ 3.3 ภายในปีนี้ หรือได้รับการยอมรับว่ากลับมาโตกันในแบบ “V-shaped” เอาเลยถึงขั้นนั้น อีกทั้งภายใต้การวางแผนทางเศรษฐกิจภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ ถ้าว่ากันตามสำนวน ภาษาของ “นายDavid P. Goldman” นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ “เอเชียไทมส์ ออนไลน์” ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาเพิ่งนำมาแปลถ่ายทอดไปเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ถึงกับสรุปว่า “เศรษฐกิจจีนตั้งท่าจะก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วและไกลลิบแบบควอนตัม” (China’s economy set for quantum leap forward) เอาเลยถึงขั้นนั้น หรืออาจโตประมาณ 6-8 เปอร์เซ็นต์ตลอดระยะเฉลี่ย 5 ปีนับจากนี้ และนั่นเอง...ที่จะทำให้ “คู่แข่ง” อย่างจีน ย่อมสามารถแซงโค้งแถวๆ โค้งวัดเบญจฯ ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก แทนที่คุณพ่ออเมริกา ภายในช่วงระยะที่ว่านี้ได้อยู่แล้วแน่ๆ...

ขณะที่คุณพ่ออเมริกา...มีแต่เสื่อม มีแต่ทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะ “ค่าเงินดอลลาร์” ที่เสื่อมลงไปไม่ต่ำกว่า 35 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือเป็นความเสื่อมชนิดรวดเร็วเอามากๆ ดังที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจอย่าง “นายStephen Roach” ถึงกับใช้คำว่า เร็วในระดับ “Warp Speed” แบบหนังเรื่องสตาร์ เทรค อะไรทำนองนั้น แม้กระทั่งนักลงทุนทางการเงิน การทอง อย่าง “นายRay Dalio” ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ ฟันด์ ใหญ่ที่สุดในโลก หรือกองทุน “Bridgewater” ยังต้องออกมา “ฟันธง” ไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ ว่าให้รีบ “ทิ้งเงินดอลลาร์” แล้วหันไปลงทุน “เงินหยวน” กันแทนที่ ดังนั้น...การย้อนกลับไปสู่นโยบายต่างประเทศในยุค “โอมาบ้า” ของผู้เฒ่า “โจ ไบเดน” จึงคงไม่ได้ช่วยให้อะไรกระเตื้องขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ...ภายใต้ “ความผิดพลาดอย่างมหันต์” ของรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ที่อาจเป็นตัวส่งผลให้รัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” อาจต้องหันไปหา “ความผิดพลาดอย่างอภิมหามหันต์” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ หรืออาจต้องหันไป “เผชิญหน้า” แทนที่จะดำเนินการ “ปิดล้อม” อย่างเท่าที่เคยเป็นมา อันนี้นี่เอง...ที่อาจนำมาซึ่ง “อันตราย” ต่อภูมิภาคและต่อโลกทั้งโลกได้เช่นกัน...




กำลังโหลดความคิดเห็น