ในเมื่อโลกทุกวันนี้...มันไม่ได้เบาๆ สบายๆ อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย นับวันมีแต่จะหนักอึ้ง หนักแผ่นดินยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดการดิ้นรน กระวนกระวาย ทุกข์ทรมานซะเป็นหลัก จะไปหาเรื่องที่มันออกไปทางเบาๆ สบายๆ มาปิดฉากสัปดาห์นี้ เลยเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์ซะยิ่งกว่าหาหนวดเต่า-เขากระต่าย ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ด้วยเหตุนี้...เลยคงต้องขออนุญาตไปหยิบเอาเรื่องเก่าๆ ที่ใครต่อใครต่างรอลุ้นว่ามันอาจมีอะไรใหม่ๆ พอให้ได้ตั้งความหวัง พอให้สดชื่น รื่นเริงขึ้นมาได้มั่ง นั่นคือเรื่อง “สงครามการค้า” ระหว่างคุณพี่จีนกับคุณพ่ออเมริกา ที่ทำท่าว่าน่าจะหาข้อยุติใน “เฟสแรก” ในเร็วๆ นี้...
แต่ก็อย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...ไม่ว่าจะมีข่าวล่า-มาเรือ หรือข่าวลือออกไปในแนวไหน แต่ทันทีที่ผู้นำอเมริกาได้ออกมา “ส่งสัญญาณ” เอาไว้คร่าวๆ ว่าการหาทางออก หาข้อยุติดังกล่าว อาจต้องเป็นไปหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีหน้า หรือในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2020 โน่นเลย ไม่ว่าใครต่อใครเลยต้องออกอาการอ้วกแตก อ้วกแตนกันไปแทบจะทั้งโลก ไม่เพียงแต่หุ้นวอลล์สตรีทจะตกจากหอคอย่นเป็นรายแรก ยังดึงเอาหุ้นเอเชียระเนนระนาดไปด้วยกันทั้งแผง แม้แต่ “หุ้นไทย” บ้านเรา ก็ยังต้องเอาหัวทิ่มบ่อตามไปกะเค้าด้วย ส่งผลให้สินทรัพย์ที่ไม่ค่อยมีความเสี่ยง อย่างทองคำ พุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 1,477.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...
ทั้งๆ ที่อันที่จริงแล้ว...การต้องลาก ต้องเลื้อย การหาข้อยุติทางการค้าระหว่างอเมริกากับจีนออกไปถึงช่วงปลายปีหน้า ก็ใช่ว่าจะถือเป็นเรื่อง “แปลก” หรือเรื่อง “เข็มขัดสั้น” (คาดไม่ถึง) อะไรกันมากมาย ตรงกันข้าม...ถ้าจีนกับอเมริกา สามารถหาข้อยุติในเรื่องราวดังกล่าวกันได้ง่ายๆ อันนั้นนั่นแหละ...น่าจะแปลกประหลาด มหัศจอรอหันการันยอซะมากกว่า เพราะโดยสีสันบรรยากาศ ความขัดแย้งแตกต่างระหว่างสองอภิมหาอำนาจในช่วงหลังๆ นี้ มีแต่จะยิ่งแรงขึ้นๆ และเป็นไปแบบเปิดเผย หรือแบบ “สว่างจิต” อย่างเห็นได้ชัดเจน คือไม่ใช่แค่การเถียงกันไป-เถียงกันมา ว่าใครเอาเปรียบ-เสียเปรียบ “ดุลการค้า” กันและกันเท่านั้น หรือไม่ได้แค่หันไป “เตะตัดขา” สกัดกั้นไม่ให้ฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด ขึ้นมาเป็น “เบอร์หนึ่ง” อย่างการกีดกั้น กีดกัน บริษัทเทคโนโลยีสื่อสารของจีน เช่น “หัวเว่ย” หรือ “ZTE” เป็นต้น แต่ได้ยกระดับกลายเป็นการ “แทรกแซงกิจการภายใน” อย่างชนิดตรงไป-ตรงมา อย่างที่ไม่น่าจะมีใครยอมใครหรือไม่น่าจะออมชอม กันได้อีกต่อไปแล้ว...
โดยเฉพาะคุณพี่จีน...ที่ไม่เพียงแต่ต้องเจอกับการออกกฎหมาย “Hong Kong Human Rights and Democracy Act-2019” ของสภาสหรัฐฯ ไปหมาดๆ อันถือเป็นการตอกลิ่มลงไปในใจกลางความเป็น “หนึ่งประเทศ-สองระบบ” ของจีน แบบชนิดเต็มลิ่ม เต็มลำ วัน-สองวันที่ผ่านมา...ยังต้องเจอกับการออกกฎหมาย “Uyghur Human Rights Policy Act-2019” เข้าไปอีกดอก อันถือเป็นการแสดงออกถึงความจงใจ เจตนา ที่ต้องการจะ “แบ่งแยกดินแดน” ประเทศจีน ให้ย่อยแยกแตกกระจายออกไปเป็นชิ้นๆ ให้จงได้ ยิ่งถ้ามองถึงกระบวนการผลักดันให้เกิดกฎหมายดังกล่าวทั้งสองฉบับ ยิ่งถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงทัศนะ มุมมองของบรรดาผู้คนในแวดวงการเมืองสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่ ไม่ใช่แต่เฉพาะแค่ระดับผู้นำ หรือผู้มีอำนาจการเมืองกลุ่มหนึ่ง กลุ่มใดแต่เพียงเท่านั้น ที่มีความรู้สึกในแง่ลบต่อจีนเอามากๆ มันถึงได้ทำให้การผ่านมติ “กฎหมายฮ่องกง” ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เป็นไปในแบบ “417 ต่อ 1 เสียง” ขณะที่ “กฎหมายอุยกูร์” ก็แทบไม่ได้ต่างไปจากกัน คือผ่านไปด้วยมติ “407 ต่อ 1 เสียง” สะท้อนให้เห็นถึงความแปลกแยก แตกต่างทางทัศนคติของผู้คนใน 2 ประเทศ อย่างชนิดยากที่จะเชื่อมประสานยากที่จะประนีประนอมออมชอมกันได้ง่ายๆ...
การที่ทัศนคติของผู้คนใน 2 ประเทศ...เต็มไปด้วยช่องว่างแห่งรอยแตก รอยแยก เช่นนี้ จึงออกจะเป็นอะไรที่น่ากลัว น่าหวาดหวั่นขวัญสยองมิใช่น้อย สำหรับประเทศเล็กๆ หรือประเทศหญ้าแพรก ที่จำต้องอยู่ร่วมโลกกับอภิมหาอำนาจระดับช้างสารทั้งหลาย ซึ่งกำลังฟาดงวง ฟาดงา ใส่กันและกันชนิดไม่เลิก อย่างที่อภิมหาผู้เฒ่าวัย 96 ปี “นายเฮนรี คิสซิงเจอร์” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันยุคนิกสัน ได้ออกกล่าวเตือนเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้ ณ เวทีประชุม “The National Committee on US-China Relations” ที่กรุงวอชิงตัน ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นั่นแหละว่า...ถ้าหากอภิมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายไม่พยายาม “เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้จงได้” ภาพของฉากสถานการณ์ที่คุณปู่ “คิสซิงเจอร์” ท่านมองเห็นอยู่รางๆ ในอนาคตข้างหน้า ก็คือ “ฉากสถานการณ์ที่จะเลวร้ายซะยิ่งกว่าครั้งสงครามโลกในอดีต ที่เคยเป็นตัวทำให้อารยธรรมยุโรปต้องตกอยู่ในซากปรักหักพัง” นั่นแล...
อาจด้วยเหตุเพราะอาบน้ำร้อนก่อนใครต่อใครมานานถึง 90 กว่าปี...แม้คุณปู่ “คิสซิงเจอร์” ท่านจะมองเห็นว่าพัฒนาการของประเทศจีน ได้กลายเป็นตัวท้าทายพลังอำนาจของสหรัฐฯ ในหลายแง่ หลายมุม แต่ท่านก็ยังเห็นว่า... “ท้ายที่สุดแล้วทั้งอเมริกาและจีนต่างต้องพยายามเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้จงได้” เพราะ “ความขัดแย้ง แตกต่าง อย่างถาวรของประเทศทั้งสอง จะทำให้ไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะได้เลย ไม่ว่าปักกิ่งหรือวอชิงตัน มีแต่จะต้องจบลงด้วยหายนะ กลียุคไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย” รวมทั้งทำให้โลกทั้งโลก หนีไม่พ้นต้อง “ซวย” ไปด้วย และอาจซวยหนักซะยิ่งกว่ายุคสงครามโลกที่ผ่านมาเสียอีก...
แต่ก็นั่นแหละ...ถ้ามองจาก “ข้อเท็จจริง” ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงการทหารโน่นเลย ที่ดำรงคงอยู่ภายในแต่ละประเทศ คำเตือนด้วยความปรารถนาดี ของคุณปู่ “คิสซิงเจอร์” ก็ยังอาจต้องจัดอยู่ในประเภท “โลกสวย” อย่างมิอาจปฏิเสธ เพราะโอกาสที่จะได้เห็น “การเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกัน” ดังที่ว่า มันแทบมองไม่เห็นแม้แต่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในทัศนะ มุมมองของผู้ซึ่งกำลังหลงระเริงอยู่ในความเป็นมหาอำนาจสูงสุด อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่ไม่ว่ารัฐบาลไหนต่อรัฐบาลไหนก็เถอะ ต่างไม่พร้อมที่จะเห็นใครก็ตาม ขึ้นมาเบียดแซง หรือแม้แต่ขึ้นมาทาบรัศมี บารมี ความเป็น “ประมุขโลก” ของอเมริกาได้เลย...
“หายนะ” หรือ “กลียุค” ...ในระดับที่อาจหนักซะยิ่งกว่าครั้งสงครามโลกอดีต มันจึงเป็นสิ่งที่แทบไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มีแต่ต้องหาทางทุเลาเบาบางให้มันลดระดับลงมาบ้าง ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตามที และนั่นเอง...ที่ทำให้การหันมาใช้ “หมากล้อม” แทน “หมากรุก” ไม่ว่าโดยจีน หรือรัสเซีย หันมาอาศัย “สันติภาพ” เป็นเครื่องมือ แทนที่จะเปิดโอกาสให้เกิดการจุดชนวน “สงคราม” ไม่ว่าในพื้นที่ไหนๆ ซีกโลกไหนๆ ขึ้นมาได้ง่ายๆ จึงออกจะเป็นอะไรที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง หรือโลกแห่งความเป็นจริงอยู่บ้าง แม้ทุกสิ่งทุกอย่าง...อาจต้องยืดเยื้อ คาราคาซังไปอีกตราบนานเท่านาน...