เขียนเรื่องนี้อาจทำให้กระพ้มมิอาจได้รับอนุมัติวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป แล้ว แต่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะถูกถอดถอนตามกระบวนการในสภาคองเกรสขณะนี้ หรือแพ้ ชนะในการเลือกตั้งชิงประธานาธิบดีสมัยที่ 2 หรือไม่ แต่กระพ้มยังไม่มีแผนจะไปสหรัฐฯ ในเร็ววัน
ปัจจัยสำคัญคือถ้าจะไปท่องเที่ยวให้คุ้ม ต้องมีเวลานาน และมีเงินเยอะด้วย เศรษฐกิจบ้านเราตายซากอย่างนี้ และความวุ่นวายทั้งการเมือง เศรษฐกิจในหลายประเทศ ถ้าไปไหนมาไหนต่างประเทศ ต้องควักกระเป๋าเอง เป็นเหตุไม่ควรทำอย่างยิ่ง
เว้นแต่จะมีเงินเหลือใช้ ร่างกายแข็งแรง มีเวลา มีใจ และมีคนเดินทางร่วมด้วย
วันนี้จะพูดเรื่องความพิกลในมาตรฐานการเมืองสไตล์สหรัฐฯ ซึ่งดูแล้วก็ไม่ต่างจากสภาพน้ำเน่าในประเทศอื่นๆ ทั้งพัฒนา กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนา ซึ่งนิยมใช้การรัฐประหารเป็นข้ออ้างกำจัดนักการเมืองขี้โกง และขอพื้นที่ให้พวกตัวเองเข้าไปโกงได้มั่ง
การเมืองสหรัฐฯ แสดงให้เห็นระบบ 2 มาตรฐานทุกยุค มากน้อยขึ้นอยู่กับคุณภาพของผู้นำทำเนียบขาวว่ามีระดับคุณธรรม ยางอาย มากน้อยเพียงใด รวมทั้งกระแสของประชาชนด้วย ดังเช่นโดนัลด์ ทรัมป์ คนรักก็มี คนชังก็เยอะ คนแช่งก็ไม่น้อย ทั่วโลก
คนกว่า 1 พันล้านในแผ่นดินใหญ่ของจีน หลายร้อยล้านคนในอิหร่าน ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา แอฟริกา คงแช่งชักหักกระดูกทรัมป์ คนอเมริกัน นักธุรกิจไม่น้อยอยากให้ทรัมป์ถูกถอดถอนเพราะทำให้ชีวิตลำบากจากสงครามการค้ากับหลายชาติ
คนเกาหลีใต้ไม่น่าจะนิยมทรัมป์ หลังจากพยายามรีดเอาค่าคุ้มครองเพิ่ม 500 เปอร์เซ็นต์ จากรัฐบาลเกาหลีใต้ในการเอาทหารอเมริกันไว้ในประเทศเพื่อป้องกันการรุกรานจากเกาหลีเหนือ รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องจ่ายเพื่อให้ทหารอเมริกันอยู่ในประเทศเช่นกันมีเสียงค่อนแคะว่าทรัมป์ทำให้ทหารอเมริกันเป็น “ทหารรับจ้าง” หรืออย่างไร?
ในบรรดาชาติมหาอำนาจ มีแต่สหรัฐฯ ที่ส่งทหาร มีฐานทัพเกือบทุกทวีป ในยุโรป ซาอุฯ ยูเออี ซีเรีย คิวบา จุ้นจ้านยุ่งไปทั่ว ขณะที่ชาติมหาอำนาจอื่นๆ ก็มีเพียงรัสเซียที่มีทหารอยู่ในซีเรีย จีนเน้นการค้าการลงทุนภายใต้นโยบายหนึ่ง “เข็มขัด” หนึ่งเส้นทาง
ล่าสุดนักการเมืองอเมริกันยังจุ้นกับจีน เมื่อวุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ผ่านร่างกฎหมายปกป้องสิทธิมนุษยชนฮ่องกงวันอังคารที่ผ่านมา ในขณะที่ทางการฮ่องกงเริ่มยกระดับปราบปรามการชุมนุมประท้วง เข้มข้นกว่าเดิม
ดูแล้วกลุ่มผู้ประท้วงเริ่มออกอาการแผ่ว หลังจากสร้างความเสียหายด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และระบบสาธารณูปโภคอย่างมหาศาล ยังประเมินไม่ได้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่เศรษฐกิจฮ่องกงน่าจะอยู่ในสภาวะถดถอย ฟื้นตัวได้ยาก ใช้เวลานาน
ร่างกฎหมายจะถูกส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้ผ่านร่างกฎหมายของตนเองเมื่อเดือนตุลาคมทั้ง 2 สภาจะต้องปรับแก้เนื้อหาของกฎหมายให้ตรงกัน จากนั้นจะส่งไปให้ทรัมป์พิจารณาลงนามประกาศใช้ ขึ้นอยู่กับทรัมป์ว่าจะอยากมีเรื่องกับจีนมั้ย
วุฒิสภาสหรัฐฯ ยังได้ผ่านร่างกฎหมายอีกฉบับซึ่งกำหนดห้ามการส่งออกอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนบางประเภทให้แก่ตำรวจฮ่องกง เช่น แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย กระสุนยาง และปืนช็อตไฟฟ้า นี่ก็เป็น 2 มาตรฐานเพราะส่งอาวุธให้ซาอุฯ เข่นฆ่าคนเยเมนกว่า 3 ปี
สหรัฐฯ สร้างหายนะให้อิรัก อัฟกานิสถาน ลิเบีย ซีเรีย และอีกหลายประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ยูเอ็น ไม่สนใจเสียงประณาม
ตามคำประกาศ “อเมริกาต้องมาก่อน” ได้ถูกทรัมป์ดัดแปลงให้เป็น “ทรัมป์ต้องมาก่อน” หลายกรณี บางครั้งก็ทำไม่สำเร็จ เช่น การใช้รีสอร์ต โรงแรมของตัวเองต้อนรับแขกเมือง เก็บเงินเข้ากระเป๋า เป็นการทับซ้อนของผลประโยชน์ แต่ทรัมป์ก็ทำได้อย่างไม่อาย
ทรัมป์สนับสนุนอิสราเอลอย่างไม่สนใจกฎหมายระหว่างประเทศ ย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปเยรูซาเล็ม ให้การยอมรับโดยปริยาย รับรองการยึดครองพื้นที่เวสต์แบงก์โดยชุมชนอิสราเอล สนับสนุนอิสราเอลให้ยึดที่ราบสูงโกลันของซีเรียเป็นของตนเอง
ถ้าผู้นำประเทศไหนไม่เป็นที่พอใจ ไม่เป็นเด็กในคาถา ก็หนุนฝ่ายค้าน ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลให้พยายามล้มผู้นำประเทศ เช่น นิคารากัว เวเนซุเอลา โบลิเวีย และล่าสุดคือฮ่องกง ก่อนหน้านั้นพยายามตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดในหลายประเทศเช่น อิรัก อัฟกานิสถาน
สภาคองเกรสของสหรัฐฯ กำลังเดินหน้ากระบวนการถอดถอนทรัมป์ออกจากเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวเพราะพฤติกรรมไม่ซื่อ ผลประโยชน์ทับซ้อน เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ ความมั่นคงของประเทศ ในกรณีความช่วยเหลือยูเครนแบบมีเงื่อนไข
กรรมาธิการด้านข่าวกรองให้เรียกร้องเจ้าหน้าที่การทูตในตำแหน่งต่างๆ มาให้ปากคำ พรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมาก และได้เป็นประธานกรรมาธิการต่างๆ เป็นประเด็นที่ทำให้ทรัมป์เป็นเดือดเป็นแค้น ใช้ทวิตเตอร์ก่นด่าเจ้าหน้าที่คนมาให้ข้อมูล
เพียงแค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าไม่เป็นความจริง ข้าราชการจะกล้าเสี่ยงกับผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศหรือ และทรัมป์คงไม่ออกอาการเป็นฟืนเป็นไฟ ฟาดงวงฟาดงา ผิดวิสัยผู้นำประเทศซึ่งจะต้องอยู่ในอาการสำรวม น่าเชื่อถือ ไม่สติแตกอย่างที่ได้เห็น
และที่เห็นก็คือพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างยึดฝักฝ่าย ฝ่ายแรกต้องการซักถามเอาข้อมูลมาเปิดเผยให้มากที่สุด มีพยานมาหลายคน แต่ฝ่ายรีพับลิกันแทนที่จะมุ่งเน้นหาความจริงที่ว่าทรัมป์กระทำความผิดนั้นมีหลักฐานแค่ไหน กลับไม่ทำ
ตัวแทนพรรครีพับลิกันในกรรมาธิการด้านข่าวกรองพยายามเน้นการทำลายความน่าเชื่อของผู้มาให้ปากคำ ซึ่งมีทั้งอดีตทูตในยูเครน ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเครน และความมั่นคง ไม่สนใจว่าข้อมูลจะเป็นจริงหรือไม่
ยังมีอีกเยอะ กระพ้มจะเอามาบอกเล่าให้รับทราบในโอกาสต่อไปครับผม!