xs
xsm
sm
md
lg

โบลิเวีย...กับการปัดกวาดสวนหลังบ้านอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
เปิดฉากสัปดาห์นี้...สงสัยคงต้องขออนุญาตร่อนไปไกลๆ แถวๆ ละตินอเมริกาโน่นเลย ด้วยเหตุเพราะฉากสถานการณ์การประท้วง หรือการ “จุดไฟในนาคร” ขึ้น ณ ที่โน่น ที่นี่ ประเทศนั้น ประเทศนี้ นอกจากมันยังไม่ได้ซาๆ ไม่ได้ลดระดับ ลดความรุนแรงลงไปบ้างเลย แถมยังทำท่าว่าอาจลุกลามบานปลาย ออกอาการพิลึกกึกกือชนิดสุดจะซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

สำหรับ “เอกวาดอร์” และ “ชิลี” นั้น...อาจโชคดีอยู่บ้าง ที่ประธานาธิบดี “เลนิน โมเนโร” (Lenin Moreno) แห่งเอกวาดอร์ และประธานาธิบดี “เซบาสเตียน พิเนรา” (Sebastian Pinera) แห่งชิลี ท่านออกจะซี้แหงย่ำปึ่กกับคุณพ่ออเมริกาอยู่พอสมควร หรือแทบไม่เคยสร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน ให้รัฐบาลอเมริกันมากมายสักเท่าไหร่ ต่างจากประธานาธิบดี “อีโว โมราเลส” (Evo Morales) แห่งโบลิเวีย ที่หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่นาน หรือแค่ 2 ปีเท่านั้นเอง ท่านก็สั่ง “ปิดฐานทัพอเมริกัน” ในโบลิเวีย เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2008 และอีก 5 ปีต่อมา คือปี ค.ศ. 2013 ยังสั่งการไม่ให้องค์กรช่วยเหลือและพัฒนาของอเมริกา คือ “USAID” เข้ามาจุ้น มาวุ่นวาย ในโบลิเวียอีกต่อไป แถมยังไม่คิดจะพึ่งพาอาศัยองค์กรการเงินระดับโลกอย่าง “IMF” มุ่งเดินหน้าสร้างประเทศตามแบบฉบับสังคมนิยม-ประชานิยม และต่อต้านทุนนิยมมาโดยตลอด...

ด้วยเหตุนี้...ท่านเลยหนีไม่พ้นต้อง “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น” เป็นรายแรก แม้บรรดา “มวลชน” ประเภทชนพื้นเมืองจำนวนไม่น้อย แบบพวก “เสื้อเหลือง” บ้านเราทำนองนั้น จะออกมาให้การสนับสนุนเผชิญหน้ามวลชนฝ่ายต่อต้าน ที่หาว่าท่าน “โกงเลือกตั้ง” จนเกิดการปะทะบาดเจ็บล้มตายไปตามสมควร แต่ด้วยเหตุที่มวลชนฝ่ายต่อต้าน หรือพวก “เสื้อแดง” ทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ “ดุ” เอาเรื่อง แถมยังมี “ชายชุดดำ” โผล่มาถือหางชนิดสามารถบุกจับตัวผู้สนับสนุนประธานาธิบดีอย่างนายกเทศมนตรีเมือง “Vinto” มากล้อนผมกันกลางถนน หรือจับน้องชายประธานสภาฯ ไปเป็นตัวประกัน บีบบังคับให้ต้องลาออก และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ...แทนที่ผู้บัญชาการกองทัพโบลิเวีย และผู้บัญชาการตำรวจ จะหันไปรักษาความสงบเรียบโร้ยย์ย์ย์ ด้วยการปราบ การปราม ม็อบฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็แล้วแต่ ทั้งสองรายกลับหันมายื่นคำขาดให้ประธานาธิบดีต้องลาออกกันลูกเดียว...

การ “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น” ของประธานาธิบดี “โมราเลส” คราวนี้...จึงไม่ได้เป็นเพราะการจุดไฟในนาครของ “มวลชน” ล้วนๆ แต่หนักไปทาง “การรัฐประหารโดยสมบูรณ์แบบ” โดยอาศัยมวลชนเป็นแค่ “เครื่องมือ” อย่างที่ผู้นำเวเนซุเอลาและนักสังเกตการณ์ทางการเมือง อีกหลายต่อหลายรายได้สรุปเอาไว้นั่นเอง โดยมีนักการเมืองหญิง อย่าง “นางJeanine Anez Chavez” โดดมาเล่นบทแบบเดียวกับ “นายฮวน กุยโด” หรือ “ฆวยโต” แห่งเวเนซุเอลา คือสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “ประธานาธิบดีชั่วคราว” โดยมีคุณพ่ออเมริกาให้การรับรอง แถมออกมาแสดงความยินดีกันชนิดเนื้อเต้น สั่นเร่าๆ ไปถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่ว่าตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรีต่างประเทศ ไปจนวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ที่เคยยุให้กองทัพอเมริกันบุกเวเนซุเอลา ให้รู้แล้ว รู้แรดไปซะที อย่าง “นายมาร์โค รูบิโอ” (Marco Rubio) ฯลฯ เป็นต้น โดยถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ให้เห็นถึงช่วงจังหวะประชาธิปไตยในอเมริกาใต้ไปเลยถึงขั้นนั้น...

แน่ล่ะว่า...“สัญญาณแห่งช่วงประชาธิปไตย” ตามความหมายของคุณพ่ออเมริกานั้น คงไม่ต่างไปจาก “สัญญาณเตือนภัย” ของบรรดาผู้นำประเทศที่เคยสร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ให้กับอเมริกานั่นเอง หรือมันคงไม่ได้หยุดอยู่แค่ประเทศโบลิเวียแต่เพียงเท่านั้น โอกาสที่จะลุกลามบานปลายต่อไปยังเวเนซุเอลา ที่ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “นิโคลัส มาดูโร” ถูกคุณพ่ออเมริกาไล่ทุบ ไล่บี้มาโดยตลอด แต่ยังเอาไม่ลงกันซักกะที ก็เริ่มปรากฏเค้าลางตามมาติดๆ โดยเฉพาะเมื่อ “ชายชุดดำ” สวมหน้ากากในโบลิเวีย ดันบุกเข้ายึดสถานทูตเวเนซุเอลาในกรุงลาปาซ เอาดื้อๆ!!! หลังประธานาธิบดีโบลิเวียประกาศลาออกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ตามมาด้วยประเทศบราซิล ระหว่างกำลังประชุมกลุ่มประเทศ “BRICS” ช่วงครบรอบ 10 ปีแท้ๆ แต่จู่ๆ...บรรดา “มวลชน” ที่ประกาศตัวว่าเป็นผู้สนับสนุน “นายฮวน กุยโด” ประธานาธิบดีชั่วคราวที่มาจากการแต่งตั้งตัวเองแบบ “นางJeanine Anez” ในโบลิเวียนั่นแหละ ก็บุกยึดสถานทูตเวเนซุเอลาในบราซิล โดยรัฐบาลบราซิลออกอาการไม่รู้-ไม่เห็นซะยังงั้น!!!...

อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องถือว่า ไม่ใช่รายการ “จุดไฟในนาคร” แบบธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นการ “รัฐประหาร” ภายใต้รูปแบบต่างๆ เพื่อนำไปสู่ “การปัดกวาดสวนหลังบ้าน” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ไม่ต่างอะไรไปจากการรัฐประหารรัฐบาลละตินอเมริกาแต่ละรัฐบาลที่เคยแข็งข้อกับอเมริกาจำนวนไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง นับแต่ปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา เพียงแต่พัฒนารูปแบบและวิธีการให้ต่างออกไปจากเดิมอยู่บ้างเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ท่านเลยต้องออกมาปรารภรำพึงกับผู้สื่อข่าว เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (14 พ.ย.) ที่ผ่านมา ถึงแนวคิดที่เรียกๆ กันว่า “ลัทธิมอนโร” (Monroe Doctrine) ของอเมริกานับแต่อดีต ที่ไม่ต้องการให้ใครเข้าไปข้องเกี่ยวกับซีกโลกตะวันตกของอเมริกา (Western Hemisphere) ว่าไม่ได้แสดงออกถึงความเคารพต่อ “อำนาจอธิปไตย” ของบรรดาประเทศในละตินอเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่เห็นเป็นเพียงแค่ “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกาเท่านั้น...

ดังนั้น...การจุดไฟในนาครขึ้นมาในโบลิเวีย จนนำไปสู่ “การรัฐประหารสมบูรณ์แบบ” เลยทำให้ผู้นำรัสเซียอดที่จะส่งเสียงเตือน หรือเสียง “คำราม” ก็แล้วแต่ ว่าโอกาสที่จะเกิดฉากสถานการณ์แบบเดียวกับ “ลิเบีย” หรือ “สถานการณ์ที่ปราศจากผู้นำประเทศ เป็นอนาธิปไตย ที่ใกล้เคียงกับที่เคยเกิดขึ้นในลิเบีย” กำลังมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆโดยภายใต้คำเตือนที่ว่านี้...ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่ามหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาอย่างรัสเซียและจีน ต่างก็ได้ลงทุนปลูกต้นไม้ไว้ใน “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกาไปแล้วไม่น้อยเช่นกัน เช่นการลงทุนใน “แร่หายาก” อย่าง “Lithium” ที่ว่ากันว่าประธานาธิบดี “โมราเลส” ท่านคิดยกสัมปทานให้บริษัท “TBEA” ของจีน แทนที่จะเป็นบริษัท “ACISA” ของเยอรมนี อันอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องถูกรัฐประหารไปในคราวนี้หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ แต่โดยสรุปแล้ว...ฉากสถานการณ์ในละตินอเมริกาที่ “ทุกอย่าง...เปลี่ยนไปได้เร็วมาก” ดังที่ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านว่าไว้ การลุกฮือของ “มวลชน” จึงอาจเป็นเพียงแค่ “เครื่องมือ” ชนิดหนึ่ง ที่ประชาชนฝ่ายไหนก็ตามที พึงต้องคิดไว้ด้วยว่า“ความรับผิดชอบของประชาชนก็คือ...ต้องหาทางสร้างพลังอำนาจที่เหนือไปกว่าความทะเยอทะยานส่วนบุคคลหรือของพวกฉวยโอกาส” นั่นคือข้อชี้แนะที่ผู้นำรัสเซียท่านได้ฝากไว้ให้กับชาวละตินอเมริกาทั้งมวล...


กำลังโหลดความคิดเห็น