เห็นภาพที่บรรดา “กุมารฮ่องกง” สาดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการประท้วงในฮ่องกงแล้ว...ต้องเรียกว่า เล่นเอาบรรดาวัยรุ่นบ้านเรา ที่ตามไปกระทืบคู่อริในโรงพยาบาลอ่างทองกลายเป็นเด็กๆ ไปโดยทันที คืออะไรมันจะ “โหด-เลว-ชั่ว” ไปได้ถึงปานนั้น!!! แค่เถียงกันไป-เถียงกันมา แค่ให้เห็นแก่ความที่เราต่างก็เป็น “คนจีน” ไปด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแค่ผลักอก ตบกะโหลก ก็ต้องถือว่าน่าเกลียด น่าทุเรศ เพียงพอแล้ว แต่นี่...ถึงขั้น “พรึ่บบ์บ์บ์” เอาดื้อๆ ปานประดุจฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ “มนุษย์” เป็นแค่ขยะมูลฝอย หรือ “เศษขยะ” อะไรทำนองนั้น...
แล้วนี่...เห็นว่าจะเริ่มต้น ชัตดง ชัตดาวน์ อะไรกันอีก จะปิดถนน ปิดการจราจร ปิดการคมนาคมขนส่ง ไม่ให้รถราง รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน มีโอกาสได้วิ่ง ได้ให้บริการกับผู้คนนับล้านๆ ตั้งแต่หกโมงเช้าของวันอังคารที่ 12 พ.ย.เป็นต้นไป จริง-ไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ก็กลายเป็นข่าวคราว ชนิดต้องออกคำเตือนกันเอาไว้ก่อนล่วงหน้า อาการ “หัวร้อน” หรือ “ความรุนแรง” ที่ถูกยกระดับยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยบรรดา “กุมารฮ่องกง” ทั้งหลาย ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 6 เดือน หรือกว่า 24 สัปดาห์ของการประท้วง ชนิดแค่ไม่ใช่ไล่ทุบ ไล่เผา ร้านค้า อาคารสถานที่ต่างๆ แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังพร้อมไล่ฆ่า ไล่กระทืบ ไล่แทง ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตัวเอง มันจะนำไปสู่ข้อสรุปกันในแบบไหน อย่างไร อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ใครต่อใคร แม้อยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง อดไม่ได้ที่จะต้องตามไป “ลุ้น” ตามไปดู แบบชนิดช็อตต่อช็อต...
แต่ก็ดูเหมือนว่า...รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งสามารถปิดฉาก ปิดเกมเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ท่านอาจหันไปใช้กรรมวิธีแบบที่ “นักจีนวิทยา” (sinologist) และคอลัมนิสต์ “เอเชียไทมส์ ออนไลน์” ชาวอิตาลี ผู้มีนามกรว่า “ฟรานเชสโก ซิสซี” (Francesco Sisci) ท่านใช้คำเรียกว่า “วิธีแก้แบบเฉียว สือ” (Qiao Shi solution) อะไรประมาณนั้น ในข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คือกรรมวิธีที่อดีตโปลิตบูโรพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชื่อว่า “เฉียว สือ” เคยเสนอแนะเอาไว้ในช่วงเกิดกรณีการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว แต่เผอิญไม่ได้ใช้ หันมาใช้ “วิธีแก้แบบเติ้ง เสี่ยวผิง” หรือ “เจียง เจ๋อหมิน” ก็แล้วแต่จะว่ากันไป คือหันมาใช้รถถัง ใช้กำลังทหารเต็มอัตราศึก เข้าปิดฉาก ปิดเกมกันในท้ายที่สุด แทนที่จะใช้วิธีแบบเฉียว สือ ที่ปล่อยให้บรรดาผู้ประท้วง “กัดกินตัวเองจากภายใน” แบบที่บรรดา “กุมารฮ่องกง” ทั้งหลายกำลัง “สามัคคีทุกฝ่าย-ทำลายตัวเอง” อยู่ในขณะนี้ แล้วค่อยหาทาง “เชือดนิ่มๆ” กันอีกที...
แต่ไม่ว่าจะโดยวิธีไหน ต่อวิธีไหน...โอกาสที่บรรดา “กุมารฮ่องกง” ทั้งหลาย จะบรรลุเป้าหมายความสำเร็จ ตาม “คำขวัญ” ที่กู่ก้องร้องตะโกนกันมาโดยตลอดว่า “Liberate Hong Kong, revolution of our times” หรือ “ปลดแอกฮ่องกงคือการปฏิวัติแห่งยุคสมัยของเรา” อะไรประมาณนั้น ยังไงๆ...มันคง “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” อยู่แล้วแน่ๆ เพราะไม่ว่าในแง่การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ไปจนถึงในแง่กฎหมายภายในและภายนอกก็ตามที โอกาสที่กุมารเหล่านี้จะปลดแอกฮ่องกง หรือแยกฮ่องกงภายใต้ความเป็น “หนึ่งประเทศ-สองระบบ” ออกไปจากแผ่นดินจีนให้จงได้นั้น ต่อให้ “โจชัว หว่อง” กลับไปเกิดเป็นสุธีสาม-สี่ชาติ ก็น่าจะยากส์ส์ส์ที่จะบรรลุเป้าหมายได้ง่ายๆ หรือแม้ประเทศคู่กัดของจีน อย่างคุณพ่ออเมริกา จะให้การสนับสนุน จะยุแยงตะแคงรั่วกันในระดับไหนก็ตาม...
ต่างไปจากประเทศในละตินอเมริกา เช่น โบลิเวีย...ที่ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้นำมวลชนนักสังคมนิยมตัวฉกาจ อย่างประธานาธิบดี “อีโว โมราเลส” ที่แม้ว่าจะครองอำนาจ ต่อเนื่องยาวนานมาถึง 14 ปี จนถือเป็น “กระดูกชิ้นโต” ของคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด แต่เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (10 พ.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง ก็ได้ตัดสินใจประกาศลาออก พร้อมกับรองประธานาธิบดี รวมไปถึงประธานสภาฯ สูง สภาฯ ล่าง แม้ว่าก่อนหน้านี้ดูจะยังพอมีทางรอด ทางไป ด้วยการเสนอให้จัดการเลือกตั้งกันใหม่ เพื่อลดความไม่พอใจของบรรดาผู้ประท้วงในชิลี ที่คิดว่ามีการ “โกง” ในการเลือกตั้งคราวล่าสุด...
แต่สิ่งที่ทำให้ต้องเปลี่ยนการตัดสินใจ หรือต้องหันมาประกาศลาออก แทนที่จะจัดให้เลือกตั้งกันใหม่...ก็คงหนีไม่พ้น “อำนาจทางทหาร” ที่อยู่ในมือของผู้นำกองทัพ ซึ่งได้ยื่นคำขาดให้ประธานาธิบดีลาออกกันแทนที่ การลุกฮือก่อการประท้วงของบรรดามวลชนชาวชิลี จึงนำไปสู่ข้อสรุป ข้อยุติ แบบที่อดีตผู้นำเอกวาดอร์ “นายRafael Correa” หรือผู้นำเวเนซุเอลาคนปัจจุบัน “นายNicolas Maduro” เรียกว่า...นี่คือ “การรัฐประหารโดยสมบูรณ์แบบ” (consummated coup d’etat) นั่นเองคือไม่ว่าจะแดง จะแรงกันไปถึงขั้นไหน แต่สุดท้าย...ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ “อำนาจชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้าย” หรืออำนาจที่อยู่ภายใต้ปากกระบอกปืนนั่นแหละว่าจะหันปากกระบอกปืน ไปในทางทิศไหนกันแน่...
แล้วเผอิญว่า...ผู้นำโบลิเวีย อย่างประธานาธิบดี “โมราเลส” ท่านอาจไม่ได้กำอำนาจชนิดนี้ไว้ในมือแบบแน่นเหนียว หนึบหนับ เหมือนอย่างผู้นำเวเนซุเอลา เมื่อเจอการ “ลุกฮือ” ของมวลชนแบบหนักๆ แรงๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เลยเป็นอันหลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี เอาง่ายๆ และนั่นก็อาจทำให้ฉากสถานการณ์ในละตินอเมริกานับจากนี้ เปลี่ยนแปลงไปบ้างไม่มากก็น้อย เพราะไม่เพียงแต่ผู้ที่ทำท่าว่าน่าจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำรายใหม่ของโบลิเวีย อย่าง “นางJeanine Anez Chavez” รองประธานสภาสูง จะเป็นผู้ที่ต่อต้านประธานาธิบดีคนเก่าอย่างออกหน้า ออกตา การปรากฏตัวของ “ชายชุดดำ” ในโบลิเวีย หรือกลุ่มผู้ประท้วงที่ปิดหน้า ปิดตา แต่ถืออาวุธเพียบ บุกเข้ายึดสถานทูตเวเนซุเอลาในกรุงลาปาซ ประเทศโบลิเวีย แบบดื้อๆ ทื่อๆ ยังถือเป็นการส่ง “สัญญาณ” ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในโบลิเวียนั้น ยังน่าจะนำไปสู่ความพยายาม “ปัดกวาดสวนหลังบ้าน” ของคุณพ่ออเมริกา อย่างเป็นขั้น เป็นตอน...
อย่างไรก็ตาม...สรุปรวมความเอาเป็นว่า บรรดาความเป็นไปต่างๆ นานาเหล่านี้ จะสามารถนำมาเป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง เป็นข้อคิดสะกิดใจ เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้บ้างหรือไม่และอย่างไร อันนี้...ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ “มุมมอง” ของใครต่อใครจะว่ากันไปตามสภาพ เพราะสำหรับ “บ้านเรา” ช่วงนี้ แม้ว่าบรรดาพวกคนหนุ่ม คนรุ่นใหม่ เขาชักจะเริ่มออกอาการ “หัวร้อน” ขึ้นมามั่งแล้ว แต่ตราบใดที่ “อำนาจชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้าย” หรือ “อำนาจภายใต้กระบอกปืน” ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยังคงอยู่ในมือของ “บิ๊กแดง” ผู้มี “รสนิยม” หนักไปทาง ไม่ค่อยชอบพวก “ซ้ายจัดดัดจริต” หรือพวก “ฮ่องเต้ ซินโดรม” ทั้งหลายเอามากๆ ต่อให้คิดจะ “อยู่-ไม่-เป็น” กันไปอีกสาม-สี่ชาติ สุดท้าย...ก็อาจ “อยู่-ไม่-ได้” กันไปโดยตลอดนั่นแหละ เพราะฉะนั้น...สู้หันมาปรับตัวปรับใจ “อยู่ให้เป็น-เย็นให้พอ-รอให้ได้” น่าจะเหมาะกว่าและสอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง มากกว่าเป็นไหนๆ...