ชักเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้ากับการประท้วง หรือรายการ “จุดไฟในนาคร” เต็มที...คืออะไรมันจะลุกฮือป่วนบ้าน ป่วนเมือง ป่วนประเทศ และ “ป่วนโลก” ไปได้ถึงปานนี้ เพราะฉะนั้น...วันนี้ ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปว่ากันถึงเรื่องคุณพ่ออเมริกาคิดจะคว้าเอาเตารีด มารีด มาไถ คุณน้องโสมเกาหลีตังกุยจับ น่าจะเหมาะกว่า...
คือเรื่องการเจรจาระหว่างอเมริกากับเกาหลีใต้ เมื่อช่วงวันอังคาร (19 พ.ย.) ที่ผ่านมา...กรณีที่รัฐบาลเกาหลีใต้จะต้องจ่ายเงินอุดหนุนให้กับการคงทหารอเมริกันจำนวน 28,500 นาย เอาไว้ในฐานทัพเกาหลีใต้ เพื่อช่วยดูแลรักษาความมั่นคง ปลอดภัย อะไรต่อมิอะไรทั้งหลายตกปีละประมาณ 1,040 ล้านดอลลาร์ ดังเท่าที่เคยเป็นมาโดยตลอด แต่เมื่อมาถึงยุค “ทรัมป์บ้า” หรือยุค “อเมริกา...ต้องมาก่อน” การควักเตารีดออกมารีด มาไถ หรือการ “ขึ้นราคาค่าคุ้มครอง” ของอเมริกา ก็ดันเขยิบสูงปรี๊ดปาเข้าไปถึง 5 เท่าตัว หรือเกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลเกาหลีใต้ ต้องจ่ายเงินอุดหนุนดังกล่าว จำนวนถึงประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย...
ส่งผลให้เกิดรายการ “สะบัดตูด” หรือเกิดการลุกหนีจากโต๊ะประชุมเจรจา หลังจากคุยไป-คุยมาได้แค่ประมาณชั่วโมงเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่โดยกำหนดการของการเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ในรายละเอียด อาจต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น สิ่งเหล่านี้เลยกลายเป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งสำนักข่าวต่างประเทศ และทำให้บรรดาชาวโสมทั้งหลาย เกิดความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวไม้ กันไปตามสมควร ถึงขั้นออกมายกป้าย ชูป้าย ด่าอเมริกากันพอได้น้ำ-ได้เนื้อ ไม่ต่างไปจากชาวโสมที่อยู่ถัดขึ้นไปในแถบเกาหลีเหนือ การออกแถลงการณ์ของรัฐบาลเกาหลีเหนือ ผ่านสำนักข่าว “KCNA” เมื่อช่วงวันจันทร์ (18 พ.ย.) ที่ผ่านมา ว่าผู้นำเกาหลีเหนืออย่าง “คิมน้อย” ไม่มีอารมณ์ที่จะเจ๊าะแจ๊ะเจรจาใดๆ กับ “ทรัมป์บ้า” อีกต่อไปแล้ว หรือ “ไม่ยอมให้ผู้นำอเมริกานำเอาการพบปะเจรจากับผู้นำเกาหลีเหนือไปอวดอ้างอะไรต่อมิอะไรได้อีก” สรุปเป็นอันว่า...ไม่ว่าหลีเหนือหรือหลีใต้ ต่างออกอาการ “แม้พัดลมยังส่ายหน้าเลย” กับคุณพ่ออเมริกาอย่างเห็นได้โดยชัดเจน...
ส่วนก่อนหน้านั้น...พันธมิตรรายสำคัญของคุณพ่ออเมริกา อย่างคุณพี่ยุ่นปี่ หรือญี่ปุ่น ก็คงหนีไม่พ้นต้อง “ส่ายหน้า” ชนิดไม่ต่างอะไรไปจากกัน เพราะถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว” ที่นิตยสาร “Foreign Policy” เขาได้นำเสนอไว้เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (17 พ.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลอเมริกันระบุว่า ผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น กะจะควักเตารีด ออกมารีด มาไถ รัฐบาลญี่ปุ่นแบบเดียวกับรัฐบาลเกาหลีใต้นั่นเอง คือกะจะ “ขึ้นราคาค่าคุ้มครอง” หรือต้องการเพิ่มเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายให้กับการคงทหารอเมริกันจำนวน 54,000 นายในฐานทัพอเมริกาที่ญี่ปุ่น จากประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็น 8,000 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 เท่าตัว จริง-ไม่จริง...คงต้องรอจนกว่าข้อตกลงดังกล่าวจะครบกำหนดในช่วงอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในปี ค.ศ.2021 กันดูอีกที...
แต่ก็นั่นแหละ...การที่ “อเมริกา...ต้องมาก่อน” ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือทุกๆ กรณีในโลกนี้ ย่อมส่งผลให้บรรดาผู้ที่เคยยืนหยัดเป็น “พันธมิตร” กับคุณพ่ออเมริกา นับวันจะออกอาการ “ส่ายหน้า” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าในซีกโลกไหนๆ ก็แล้วแต่ ยิ่งโดยเฉพาะในเอเชียและแปซิฟิก ที่เคยเป็นเป้าหมายในการ “ปักหมุด” (Pivot to Asia) หรือการประดิษฐ์ คิดค้น “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” (Indo-Pacific Strategy) ด้วยแล้ว ใครที่เคยมีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ ของนักกฎหมายและนักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศชาวนิวซีแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศอเมริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย-แปซิฟิก ผู้มีชื่อว่า “Darius Shahtahmasebi” ว่าด้วยเรื่อง “US unilateralism may be pushing Japan and South Korea into the Open arms of China” หรือ “ลัทธิทำตามอำเภอใจของอเมริกาอาจผลักให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต้องผวาเข้าสู่อ้อมอกของจีน” อะไรทำนองนั้น ที่เพิ่งเผยแพร่ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง คงพอหลับตานึกภาพได้บ้างว่า...เอาไป-เอามาแล้ว โฉมหน้าของโลกในอนาคต มันน่าจะเป็นไปในแนวไหนกันแน่!!!
คือถ้าสรุปโดยคร่าวๆ...ผู้เชี่ยวชาญชาวนิวซีแลนด์รายนี้ท่านเห็นว่า “การเชื่อมโยง” กันระหว่าง 3 ประเทศหลักๆในภูมิภาคเอเชียอย่างจีน-ญี่ปุ่น-และเกาหลีใต้ ที่แม้จะเคยมีเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์และข้อพิพาททางดินแดน อันทำให้ไม่อาจกลมกลืนกันได้สนิท และกลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการควบคุมอำนาจแบบ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ของอเมริกามาโดยตลอด อาจกำลังกลายเป็นตัวกัดกร่อนบทบาทและอิทธิพลของอเมริกาในระดับโลกเอาเลยทีเดียว เพราะด้วย “ขนาด” ทางเศรษฐกิจที่ใหญ่โตเป็นอันดับ 2 อันดับ 3 ของโลก รวมทั้งอันดับ 12 ของเกาหลีใต้ ก็มีปริมาณมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลกเข้าไปแล้ว ดังนั้น...ถ้าหาก 3 ชาติที่ว่านี้ เกิดคิดร่วมมือ ร่วมไม้กันจริงๆ พร้อมที่จะลดความกินแหนงแคลงใจ ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบันลงไปได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะส่งผลให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา ต้อง “โฮม อโลน” หรือต้อง “ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง” ตามลำพัง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
และแนวโน้มที่ว่า...ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะด้วยแรงกดดันจากลัทธิทำตามอำเภอใจ การป้องกันกีดกันทางการค้า หรือ “ลัทธิอเมริกา...ต้องมาก่อน” ของ “ทรัมป์บ้า” นี่เอง ที่ทำให้ช่องว่างความกินแหนงแคลงใจของทั้ง 3 ประเทศ ค่อยๆ ถูกกระชับยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ผู้นำจีน อย่างนายกรัฐมนตรี “หลี่ เค่อเฉียง” ของจีน ถึงกับกระซิบกับนายกรัฐมนตรี “ชินโสะ อาเบะ” ของญี่ปุ่นเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า “ความร่วมมือของ 3 ฝ่าย (จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้) จะเป็นกำลังสนับสนุนโลกทั้งโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น และในการประชุมสุดยอด 3 ฝ่ายที่จะเริ่มขึ้น ณ เมืองเฉิงตูในเดือนธันวาคมที่จะถึง อาจพอได้เห็น “สัญญาณ” ดังกล่าว ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยทั้ง 3 ประเทศที่ว่า ต่างก็เป็นประเทศที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือ “RCEP” (Regional Comprehensive Economic Partnership)ไปด้วยกันทั้งสิ้น อันหมายรวมไปถึงอินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีก 10 ประเทศอาเซียน ที่ถ้านำเอาขนาดทางเศรษฐกิจมารวมๆ กันแล้วก็ปาเข้าไปถึง 1 ใน 3 ของจีดีพีโลกเอาเลยถึงขั้นนั้น หรือเฉพาะจำนวนประชากรก็เกือบจะครึ่งโลกเข้าไปแล้ว...
ประกอบกับ “ความสำเร็จ” อันมิอาจปฏิเสธได้ของจีน...ในการ “เปลี่ยน” บรรดาประเทศพันธมิตรของอเมริกา ให้กลายมาเป็นประเทศที่พร้อมให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับอภิมหาโครงการ “One Belt, One Road” กันไปเป็นแผงๆ ไล่ตั้งแต่แอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง ยุโรป ละตินอเมริกา ไปจนทั่วทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก จึงทำให้ใครก็ตามที่ยังคงละเมอ พร่ำเพ้อ ถึงความยิ่งใหญ่ของอเมริกา ของเงินดอลลาร์ หรือของยุทธศาสตร์ “อินโด-แปซิฟิก” น่าจะ “คิดใหม่-ทำใหม่” ได้แล้ว...