เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปแถวๆ ประเทศอิสราเอลดูสักหน่อย เพราะไม่เพียงแต่บรรดาชาวยิวทั้งหลาย ผู้ถือเป็น “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกา กำลังเกิดอาการยักแย่-ยักยัน ยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก แม้จัดการเลือกตั้งทั่วไปมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา ภายในปีเดียวกัน แต่ยังไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลอย่างเป็นรูป เป็นร่าง เป็นตัว เป็นตนขึ้นมาได้จนบัดนี้ ดังที่คุณพี่ “โสภณ องค์การณ์” ท่านนำมาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์ “มองต่างแดน” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่ด้วยเหตุเพราะฉากสถานการณ์ในตะวันออกกลางช่วงนี้มันชักแสดงให้เห็นถึง “ความเปลี่ยนแปลง” ค่อนข้างชัดเจน เรียกว่า...จาก “หลังตีน” พลิกเป็น “หน้ามือ” อะไรประมาณนั้นอันทำให้บรรดาลูกหลานกษัตริย์ “ดาวิด” และ “โซโลมอน” เริ่มหนาวว์ว์ว์ยะเยือก เริ่มขนลุก ขนตั้งขึ้นมาตามสมควร...
เพราะโดย “ความเปลี่ยนแปลง” ที่ว่า...ไม่เพียงแต่ทำให้ความหวัง ความปรารถนาของบรรดาชาวอิสราเอลประเภท “สุดโต่ง” ทั้งหลาย ที่หวังขยายอาณาเขตดินแดนประเทศอิสราเอลให้ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร เหมือนครั้งอาณาจักรโบร่ำโบราณเมื่อหลายต่อหลายพันปีที่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยการยึดฉนวนกาซา ผนวกที่ราบสูงโกลัน ครอบงำกรุงเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของประเทศ ไปจนถึงคิดก่อสร้าง “วิหารพระเจ้าครั้งที่ 3” ขึ้นมาใหม่ ฯลฯ อันก่อให้เกิดแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจ จนถึงขั้นต้องนำเอาใบหน้าของผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ไปวางเคียงคู่กับอดีตพระจักรพรรดิเปอร์เซีย อย่าง “ไซรัสมหาราช” ในเหรียญที่ระลึกเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้ นับวัน...ชักทำท่าว่าออกไปทาง “เหี่ยวปลาย” ยิ่งเข้าไปทุกที...
อันเนื่องมาจากผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น เอาไป-เอามาแล้ว...ออกจะเป็นคนละเรื่อง-คนละม้วน กับ “ไซรัสมหาราช” กษัตริย์เปอร์เซียผู้เคยมีคุณูปการต่อบรรดาเชลยศึกชาวอิสราเอล เคยอนุมัติอนุญาตให้กลับมาสร้างบ้านแปงเมือง สร้าง “วิหารพระเจ้าครั้งที่ 2” ขึ้นมาเมื่อหลายพันปีที่แล้ว อย่างชนิดเทียบขี้ตีนยังไม่น่าจะได้คือไม่ว่าจะให้การสนับสนุนบรรดาชาวยิว หรือประเทศอิสราเอล ชนิดสุดลิ่มทิ่มกระดานไปถึงขั้นไหน แต่ก็คงได้แค่ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไปตามเรื่อง ตามราว ไม่ได้มีอะไรเป็นเนื้อ เป็นหนัง เหมือนอย่างที่พระจักรพรรดิ “ไซรัส” เคยกระทำการมาในประวัติศาสตร์ชนชาติอิสราเอล เอาเลยแม้แต่น้อย...
โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับ “ปูตินมหาราช” ผู้นำรัสเซียได้แค่ไม่กี่ยก... “ทรัมป์บ้า”เลยต้องกลายสภาพเป็น “มหารูด” เอาง่ายๆ ออกอาการเสียมวย เสียรังวัด หนียะย่าย พ่ายจะแจ แพ้แล้ว แพ้เล่า ไม่ว่าในแนวรบตะวันออกกลางด้านไหนก็แล้วแต่ จนทำให้แม้แต่ชาวอเมริกันด้วยกันเอง อย่างคอลัมนิสต์นิตยสาร “Newsweek” “นายArial Cohen” ที่เคยยกตัวอย่างไปแล้ว ต้องออกมา “ฟันธง” แบบเต็มผืน เต็มด้าม ว่า “อเมริกาได้หมดบทบาทในภูมิภาคตะวันออกกลางไปเรียบร้อยแล้ว” หรือ “นายJames Rodgers” คอลัมนิสต์นิตยสาร “Forbs” ที่ออกมาสรุปไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า “รัสเซียกำลังเข้ามามีบทบาทแทนที่อเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง” โดยสิ่งที่สามารถแสดงให้เห็นถึงสัญญาณดังกล่าวได้อย่างชัดเจนก็คือ การเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรซาอุฯ อย่างเป็นทางการของผู้นำรัสเซียครั้งล่าสุด ที่ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือในระดับลึกๆ ไม่ว่าในเรื่องการกำหนดราคาพลังงานในตลาดโลก การคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาค เผลอๆ...ยังอาจรวมไปถึงการเสนอขายอาวุธ โดยเฉพาะระบบป้องกันขีปนาวุธ หลังจากซาอุฯ เพิ่งถูกบ้องข้าวหลามยักษ์ของใครก็แล้วแต่ ถล่มคลังน้ำมันไปหมาดๆ รวมทั้งได้อ้างอิงถึงรายงานข้อวิเคราะห์ของสถาบัน “Brooking Institute” เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาไว้อีกต่างหาก โดยเฉพาะที่สรุปไว้ว่า... “อิทธิพลของอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง กำลังเสื่อมโทรมลงไปอย่างแท้จริง” ฯลฯ...
ภายใต้สภาวะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกา อย่างประเทศอิสราเอล เลยต้องเกิดอาการหนาวว์ว์ว์ หรือต้องขนลุก ขนชันขึ้นมาจนได้ ดังเห็นได้จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักวิเคราะห์กิจการอาหรับแห่งสถานีโทรทัศน์อิสราเอล “นายZvi Yehezkeli” กับผู้บัญชาการกองบัญชาการภาคเหนือแห่งกองทัพอิสราเอล หรือ “IDF” อย่าง “พลโทAviv Kochavi” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ได้ระบุถึง “ความผิดพลาด 3 ประการ” ของผู้นำอเมริกาแบบตรงไป-ตรงมา อันส่งผลให้แนวรบในตะวันออกกลาง เกิดอาการพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน สำหรับประเทศพันธมิตรอย่างอิสราเอลและบรรดาชนชาวยิวทั้งหลาย...
อันประกอบไปด้วย ประการแรก...เมื่อศัตรูคู่กัดของอิสราเอล อย่างอิหร่าน สอยเครื่องบินโดรนมูลค่านับร้อยๆ ล้านของกองทัพอเมริกันร่วงลงมาแบบเห็นๆ แต่อเมริกากลับไม่ได้คิดตอบโต้ใดๆ อย่างเท่าที่ควรจะเป็น ประการที่สอง...ผู้นำอเมริกาพยายามหันไปเรียกร้องที่จะพบปะเจรจากับผู้นำอิหร่าน ที่ทั้งอเมริกาและอิสราเอลถือเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อภูมิภาคและต่อโลกทั้งโลกมาโดยตลอด โดยที่ผู้นำอิหร่านกลับไม่ได้ให้ค่า ให้ราคาใดๆ แม้แต่น้อย และประการที่สาม...คือการที่อเมริกาทรยศต่อพวกกบฏชาวเคิร์ด ที่ทั้งอเมริกาและอิสราเอลให้การสนับสนุน และพยายามยุแยงตะแคงรั่วให้หาทางโค่นล้มรัฐบาลซีเรียลงไปให้จงได้ จนต้องหันกลับไปญาติดีกับรัฐบาล “อัล-อัสซาด” หลังกองทัพอเมริกันประกาศถอนตัวออกจากพื้นที่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย อันกลายเป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพตุรกีบุกเข้ามาบดขยี้ชาวเคิร์ดกันจนได้ ที่ไม่เพียงแต่ทำให้บรรดาชาติต่างๆ เห็นถึง “การทรยศ” ของอเมริกาเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของรัฐบาลอเมริกัน ที่ไม่สามารถปกป้องพันธมิตรทั้งหลายทั้งปวงได้เลย แม้แต่ชาติพันธมิตรรายสำคัญอย่างซาอุดีอาระเบียก็เถอะ...
ด้วยสภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่ส่งผลให้ผู้บัญชาการกองกำลังภาคเหนือของอิสราเอล ต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่กองทัพอิสราเอลเคยใช้เล่นงานประเทศคู่กัดอย่างอิหร่าน จากที่ “เราได้เคยโจมตีฐานที่มั่นทางทหารทุกแห่ง และที่ตั้งของกองกำลังอิหร่านในซีเรียอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ในช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมา โดยอิหร่านไม่คิดจะเปิดเผย และไม่ถึงกับกล้าตอบโต้อย่างตรงไป-ตรงมา แต่มาถึงขณะนี้ หรือเมื่อสถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างชัดเจน เราคงต้องค่อยๆ พิจารณาไปเป็นขั้นๆ ว่าการโจมตีใดๆ ก็แล้วแต่ อาจต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้นำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารกับอิหร่านโดยตรง” พูดง่ายๆ ว่า...ชักเริ่มหนาวว์ว์ว์ๆ ขึ้นมามั่งแล้ว ชักต้องคิดหน้า คิดหลัง ต้องหัดชะงักเท้า ชะงักตีนลงไปมั่ง โดยเฉพาะถ้าต้องเจอกับ “อาวุธบินได้” แต่ละชนิด ที่สามารถประเคนเข้าใส่อาณาเขตประเทศอิสราเอลในระดับเซ็นเซอร์ราวด์ หรือในทุกทิศ ทุกทาง...
ดังนั้น...แม้ว่าการที่กองทัพอิสราเอลต้องหันมาชะงักตีน ชะงักเท้า ต้องใคร่ครวญ พิจารณาการล้างแค้นเอาคืน ประเทศ “คู่กัด” อย่างอิหร่าน จะมีพื้นฐานที่มาจากสิ่งที่ “พลโทAviv Kochavi” สรุปไว้ว่า “นี่คือผลสืบเนื่องมาจากความอ่อนแอของอเมริกาในภูมิภาคนี้ ที่ทำให้พันธมิตรอย่างอิสราเอล รวมถึงซาอุดีอาระเบีย ต้องอ่อนแอตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้” แต่ก็นั่นแหละ...อย่างน้อย ก็น่าจะช่วยให้บรรยากาศแห่ง “สันติภาพ” พอมีโอกาสได้ผุด ได้เกิดขึ้นมามั่ง แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี...