วันนี้...สงสัยคงต้องลองแวะไปดู “การปล้นครั้งใหญ่” ที่กำลังเกิดขึ้นแบบสดๆ ร้อนๆ แถวๆ พื้นที่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศซีเรียเค้าดูสักหน่อย เพราะอาจถือเป็นการปล้นกันในระดับข้ามชาติ ข้ามประเทศ แถมยังมีลักษณะอาการหนักไปทางปล้นแบบชนิด “ใส่เสื้อแดง-แขวนกระดิ่ง-วิ่งราวตอนกลางวันแสกๆ” ซะอีกต่างหาก อันเนื่องมาจาก “หัวหน้าโจร” (ประทานโทษ) เนื่องจากผู้นำอเมริกาอย่างประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” ท่านบอกว่า “ผมชอบน้ำมัน” และ “เราจะเก็บมันเอาไว้” ท่านเลยตัดสินใจส่งทหารอเมริกันที่เพิ่งถอนตัวออกจากซีเรียไปหมาดๆ กลับเข้าไป “ปล้น” หรือเข้าไปยึดครองบ่อน้ำมัน “Al-Omar”, “Al-Tanak”, “Al-Dhafra” ฯลฯ ฯลฯ ในเขตพื้นที่จังหวัด “Deir ez-Zor” ของซีเรีย เอาไว้เป็นที่เรียบร้อย...
คือเรียกว่าขนาด “พันธมิตรชาวเคิร์ด” ที่เคยพลีชีพ พลีเลือด-พลีเนื้อ ให้รัฐบาลอเมริกันนับเป็นหมื่นๆ ศพ ท่านยังกล้า “ถีบทิ้ง” หรือยังพร้อม “แทงข้างหลัง” ซะเฉยเลย แต่ถ้าดันเป็นผลประโยชน์ในเรื่อง “น้ำมัน” แล้ว ผู้ที่ชื่นชอบน้ำมันอย่างเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น “Shale Oil” หรือ “Oil” อะไรก็แล้วแต่ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ท่านย่อมมิอาจอยู่เฉยเป็นอันขาด ปฏิบัติการปล้นครั้งใหญ่หรือปฏิบัติการการส่งทหารอเมริกันชุดย่อยๆ เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองซีไอเอ รวมทั้งเจ้าหน้าที่บริษัทน้ำมันสหรัฐฯ รวมทั้งกองกำลังทหารบ้านที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษอเมริกันเคยฝึกปรือและติดอาวุธให้ เข้าไปยึดบ่อน้ำมันทีละบ่อ สองบ่อ ในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย โดยไม่จำเป็นต้องสนใจกฎหมายระหว่างประเทศ อำนาจอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของผู้อื่น จึงกลายเป็นการ “ปล้นข้ามชาติ” ที่น่าตื่นตะลึงพรึงเพริดเอามากๆ...
ซึ่งการปล้นครั้งนี้...ไม่ได้เป็นแค่ “ข้อกล่าวหา” ลอยๆ ที่ไม่ได้มีหลักฐาน ข้อพิสูจน์ใดๆ มายืนยันเอาไว้เลยเพราะจากภาพถ่ายทางดาวเทียมที่โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย “พลตรีIgor Konashenkov” ได้นำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน เมื่อช่วงวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็น่าจะพอทำให้แม้แต่อัยการบ้านเราก็ไม่อาจ “สั่งไม่ฟ้อง” ได้เหมือนอย่างกรณีศิษย์เอกธรรมกายอย่าง “นายอนันต์ อัศวโภคิน” อยู่แล้วแน่ๆ คือมันชัดซะยิ่งกว่าชัดว่าบริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกันที่เรียกๆ กันว่า “Sadcap” นั้น ได้เข้ามีส่วนในกระบวนการลักลอบนำเอา “น้ำมันเถื่อน” จากหลุมขุดเจาะต่างๆ แถวๆ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียมาขายทอดตลาด ทำรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 30 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย อีกทั้งยังมีหลักฐานการนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือการขุดเจาะน้ำมันและแก๊สของบริษัทดังกล่าว จากอเมริกาเข้าไปยังซีเรีย ทั้งๆ ที่ถือเป็นการละเมิดข้อห้ามว่าด้วยการแซงชั่นซีเรีย ของรัฐบาลสหรัฐฯ เองซะอีกต่างหาก...
นั่นยังไม่นับรวมไปถึง “คำสารภาพ” ของประธานาธิบดีอเมริกัน ที่ออกมาเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แบบชนิด “สว่างจิต” หรือแบบตรงไป-ตรงมา ว่าการส่งทหารสหรัฐฯ กลับเข้าไปในซีเรีย ก็เพื่อที่จะ “รักษา” และ “เก็บ” น้ำมันในซีเรียเอาไว้ให้กับบริษัทน้ำมันในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น “Sadcap” หรือ “Exxon Mobil” ไปโน่นเลย จนทำให้ผู้นำรัฐบาลซีเรียที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมายของสหประชาชาติ อย่างประธานาธิบดี “อัล-อัสซาด” อดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยคำสรรเสริญยกย่องผู้นำอเมริกันรายนี้เอาไว้ว่า... “ทรัมป์อาจถือเป็นประธานาธิบดีที่ดีที่สุดของอเมริกา ในแง่ที่กล้าเปิดเผยแบบตรงไป-ตรงมา ถึงเจตนาอันชั่วร้ายของรัฐบาลอเมริกัน โดยไม่คิดจะปิดบังเอาเลยแม้แต่นิด” อะไรทำนองนั้น...
ว่าไปแล้ว...น้ำมันหรือแก๊สในประเทศซีเรียนั้น ก็ไม่ได้ถึงกับมากมายมหาศาล เหมือนอย่างบรรดาประเทศอภิมหาเศรษฐีน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหลาย ว่ากันว่า...ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ “อาหรับ สปริง” และตามมาด้วย “สงครามกลางเมือง” ในซีเรียเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ปริมาณการผลิตน้ำมันในซีเรียตามตัวเลขสถิติของหน่วยงานอเมริกันอย่าง “US Energy Information Administration” ก็อยู่ที่ประมาณ 400,000 บาร์เรลต่อวันเท่านั้นเอง หรือตกประมาณ 730 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนตามราคาน้ำมันในช่วงขณะนั้น คิดเป็นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประเทศ และ 30 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าส่งออก และโดยส่วนที่เหลือสามารถนำมาใช้ตอบสนองอุปสงค์ภายในประเทศได้อย่างทั่วถึง...
เมื่อสงครามกลางเมืองได้เริ่มระเบิดขึ้น...ปริมาณการผลิตน้ำมันในซีเรียเลยต้องลดแบบฮวบๆ ฮาบๆ ช่วงปี ค.ศ. 2013 ตัวเลขการผลิตเหลืออยู่แค่ 59,000 บาร์เรลต่อวัน ปีต่อมาเหลือแค่ 33,000 บาร์เรลต่อวัน หรือแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่เคยผลิตได้ทั้งหมด แต่ในช่วงจังหวะนี้นี่เอง...ที่พวกผู้ก่อการร้ายไอซิส ไอเอส หรือดาเอช ได้เริ่มสถาปนารัฐอิสลามขึ้นในซีเรียและบางส่วนของอิรัก โดยส่วนที่อยู่ในซีเรียนั้น ก็คือบรรดาพื้นที่แหล่งน้ำมัน อย่างในจังหวัด “Deir ez-Zor” นั่นเอง บ่อน้ำมันในแต่ละบ่อ หลุมน้ำมันในแต่ละหลุม รวมทั้งบรรดาโรงกลั่นต่างๆ จึงตกอยู่ในมือ “ผู้ก่อการร้าย” ไปโดยปริยาย และด้วยน้ำมันเหล่านี้นี่เองที่ทำให้พวกผู้ก่อการร้าย สามารถสร้างแหล่งรายได้ขึ้นมาเลี้ยงดูกองกำลังตัวเอง ด้วยการสูบและลักลอบขน “น้ำมันเถื่อน” โดยขบวนคาราวานรถบรรทุก ส่งไปขายยังตลาดต่างประเทศ ผ่านทางจอร์แดนและตุรกี โดยลดราคาน้ำมันเหลือแค่ 15-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำกว่าราคาตลาดในช่วงระยะนั้นเอามากๆ ส่งผลให้เกิดรายได้อย่างชนิดเป็นกอบ เป็นกำ...
โดยแม้ว่ากองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก จะเปิดปฏิบัติการกวาดล้างผู้ก่อการร้ายพื้นที่แถบนั้น อย่างหนักหน่วงรุนแรงถึงเพียงไหน หรือเกิดการโจมตี ทิ้งระเบิดไม่ต่ำกว่า 5,500 ครั้ง ช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014-2015 แต่ก็แปลกเอามากๆ ที่บรรดาระเบิดทั้งหลาย กลับไม่เคยหล่นใส่หัวกบาล หรือใส่ขบวนคาราวานรถบรรทุกน้ำมันของพวกผู้ก่อการร้ายเอาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเมื่อกองทัพรัสเซียได้ถูกเชื้อเชิญโดยรัฐบาลซีเรีย ให้เข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่เหล่านี้ ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 2015 เป็นต้นมา ด้วยการข่าวและปฏิบัติการทางอากาศของกองทัพรัสเซีย ไม่เพียงแต่สามารถถล่มขบวนคาราวานรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนของพวกผู้ก่อการร้ายได้นับเป็นพันๆ คัน ยังสามารถทำลายโรงกลั่นน้ำมันของพวกดาเอช ไม่ต่ำกว่า 32 โรง ปิดบ่อน้ำมันจำนวนนับเป็นโหลๆ หรือทำให้พวกผู้ก่อการร้ายต้องสูญเสียรายได้ไม่น้อยไปกว่าปีละเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์จนทำให้บรรดาผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย ต้องแห้งเหี่ยวหัวโต หมดฤทธิ์ หมดเดช ไปจนตราบเท่าทุกวันนี้...
แต่ด้วยเหตุเพราะกองทัพซีเรีย...ยังคงต้องมั่วอยู่กับการยึดพื้นที่ด้านตะวันตกของประเทศ บริเวณพื้นที่ด้านเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย จึงถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ใต้การยึดครองของ “กบฏชาวเคิร์ด” ในซีเรีย พันธมิตรผู้ยอมพลีชีพนักรบนับหมื่นๆให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ นั่นเอง และกลายเป็นการเปิดทางให้กองทัพอเมริกันเข้ามามีอิทธิพลในพื้นที่ดังกล่าว จนนำไปสู่การตัดสินใจ “แทงข้างหลัง” ชาวเคิร์ดกันในวาระสุดท้าย แต่หลังจากนั้น...ก็ไม่ใช่แค่แทงแล้ว แทงเลย เพราะด้วยเหตุที่ “ผมชอบน้ำมัน” และ “เราอยากเก็บมันเอาไว้” อย่างที่ประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ ได้ออกมาเปิดเผยแบบตรงไป-ตรงมานั่นเอง กองทัพอเมริกันจึงได้รับคำสั่งให้กลับเข้าไป “ปล้น” พื้นที่ภาคเหนือของซีเรียกันอีกครั้ง อันถือเป็นการ “ปล้นข้ามชาติ” ปล้นกันแบบกลางวันแสกๆ แถมยังใส่เสื้อแดง แขวนกระดิ่ง อีกซะด้วย เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรมันจะ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ไปได้ถึงปานนั้น...