xs
xsm
sm
md
lg

อิสราเอลกับการจุดไฟนรกสุดขอบฟ้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท

นายอาวิกดอร์ ลีเบอร์แมน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล
ไหนๆ...ได้ว่ากันเรื่องคุณน้อง “นาตาลี พอร์ตแมน” ชาวยิวผู้ถูกชาวยิวด้วยกันเองต่อต้านไปแล้วเมื่อวานนี้ วันนี้เลยขออนุญาตปิดท้ายสุดสัปดาห์ ด้วยข่าวคราวความเคลื่อนไหวของประเทศอิสราเอลในตะวันออกกลาง ที่นับวันออกจะเป็น “ตัวอันตราย” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดอาจถือเป็น “ตัวหลัก” ในการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาในภูมิภาคนี้เมื่อไหร่ และอย่างไร ก็ย่อมได้...

และเผอิญเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี้...เริ่มมีการหยิบเอาเรื่องที่คุณน้ารัสเซีย กำลังคิด ตัดสินใจ ว่าจะส่งระบบป้องกันขีปนาวุธนำวิถีแบบ S-300 ไปให้กับรัฐบาลซีเรียเอาไว้ป้องกันตัว หลังโดนคุณพ่ออเมริกา-อังกฤษ-ฝรั่งเศส รุมถล่มด้วยจรวดโทมาฮอว์คนับร้อยๆ ลูก เมื่อไม่กี่วันมานี้ มาพูดจากันอย่างเป็นกิจการชนิด “ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธประจำเอเอสทีวี-ผู้จัดการ” ที่เชี่ยวชาญในระดับ “หาตัวจับยาก” (คือโทรศัพท์ไปหาเมื่อไหร่ไม่เคยมีโอกาสได้เจอตัว) ถึงกับหยิบเอาข้อมูลทางดาวเทียม ว่าด้วย “ปรากฏการณ์ม่านควัน” ซึ่งคละคลุ้งไปทั้งฐานทัพเรือตาร์ตุสของรัสเซียในซีเรีย มาใช้เป็นข้อสังเกตว่าอาจนำไปสู่การส่งมอบระบบป้องกันขีปนาวุธ S-300 ของรัสเซีย ไปให้กับรัฐบาลซีเรียหรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่แน่...

ส่วนความร้ายกาจ เฉียบขาด เฉียบคมของอาวุธชนิดนี้ มีรายละเอียดซับซ้อน ลุ่มลึกไปถึงริดสีดวงทวารขนาดไหน อันนี้...คงต้องไปหาอ่าน ตามอ่านจาก “ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ” รายที่ว่ากันเอาเอง แต่ก็เรียกว่า...ถึงขั้นที่ทำให้รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล “นายอาวิกดอร์ ลีเบอร์แมน” (Avigdor Lieberman) ต้องออกมาป่าวประกาศกับสื่ออิสราเอลหนังสือพิมพ์ “Haaretz” เอาไว้แบบน่าหวาดเสียวมิใช่น้อย ว่ากองทัพอิสราเอลพร้อมแล้วที่จะถล่มระบบป้องกันขีปนาวุธ S-300 แบบฉับพลัน-ทันที ถ้าหากระบบดังกล่าวถูกนำมาใช้เล่นงานเครื่องบินอิสราเอลลำใดก็ตาม แม้ว่าก่อนหน้านั้น...หนังสือพิมพ์รายวัน “Kommersant” ของรัสเซีย จะอ้างแหล่งข่าวระดับสูงทางทหารในรัสเซีย ระบุเอาไว้ว่า... “ถ้าหากอิสราเอลโจมตีระบบป้องกันอาวุธ S-300 ขึ้นมาเมื่อใด อิสราเอลเองนั่นแหละ...จะได้เห็นผลลัพธ์อันร้ายแรงที่ตามมา” ประมาณนั้น...
ระบบป้องกันขีปนาวุธ S-300
แต่อันที่จริง...ระบบป้องกันขีปนาวุธด้วยจรวดนำวิถีแบบ S-300 หรือแม้แต่ S-400 ได้ถูกนำไปติดตั้งในประเทศซีเรีย รอบๆ ฐานทัพตาร์ตุส และฐานทัพอากาศ “Hmeimim” ของรัสเซียในซีเรียเรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนหมีขาวมาก่อนแล้ว เพียงแต่ว่า...เพื่อเอาไว้ปกป้องทหารรัสเซียในซีเรีย ไม่ได้ถือเป็นการส่งมอบให้กับรัฐบาล หรือกองทัพซีเรีย เอาไว้ป้องกันตัวเอง หรืออาจเอาไว้ใช้โจมตีอีกด้วยก็ยังได้ แม้ว่ารัฐบาลซีเรียเคยอยากได้ระบบป้องกันขีปนาวุธชนิดนี้มาเป็นของตนเอง ถึงขั้นตกลงเซ็นสัญญาซื้อ-ขายกับรัฐบาลรัสเซียอย่างเป็นมั่น เป็นเหมาะ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 แต่เมื่อถูกอิสราเอลกดดัน เรียกร้อง ไม่อยากให้ขายอาวุธชนิดนี้ให้กับรัฐบาลซีเรีย ด้วยเยื่อใยที่ยังพอมีอยู่ระหว่างอิสราเอลกับรัสเซีย รัฐบาลหมีขาวเลยตัดสินใจยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว จนกระทั่งเมื่อเกิดการรุมถล่มซีเรีย โดยคุณพ่ออเมริกาและ 2 สุนัขพูเดิลอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสนั่นเอง รัสเซียเลยต้องหยิบเอาเรื่องราวเหล่านี้กลับมาทบทวนพิจารณากันใหม่ ส่วนจะขาย-ไม่ขาย หรือแม้แต่ให้เปล่าหรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่สรุปชัดเจน โดยเฉพาะถ้าฟังจากคำให้สัมภาษณ์คราวล่าสุดของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” (Sergey Lavrov) ก็ออกมาในแนว... “รัสเซียยังไม่ได้ตัดสินใจ ถ้าตัดสินใจเมื่อไหร่จะบอกให้รู้กันโดยถ้วนหน้า” ประมาณนั้น...

แต่ก็นั่นแหละ...การตัดสินใจของรัสเซีย คงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการอยากได้เงิน ได้ทองจากการค้าอาวุธล้วนๆ แต่น่าจะขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์ทางการเมือง การทหารในซีเรีย ที่นอกจากจะออกไปทางซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยังหนักไปทางมีแต่จะทวีความรุนแรง หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นกรณีความพยายามเรียกร้องของผู้นำฝรั่งเศส ให้คุณพ่ออเมริกาคงกองกำลังทหารจำนวนนับพัน รวมทั้งทหารบ้านที่ได้รับการฝึกโดยกองทัพอเมริกันอีกนับหมื่น เอาไว้ในพื้นที่ซีเรียภาคเหนือ การเรียกร้องของประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ให้บรรดาประเทศรวยๆ ในตะวันออกกลาง จ่ายเงินสนับสนุนให้กับการสร้าง “ฐานที่มั่นใหม่” ในซีเรีย แทนฐานที่มั่นของพวก “ผู้ก่อการร้าย” ที่ถูกรัฐบาลซีเรีย รัสเซีย อิหร่าน กวาดล้างแทบหมดเกลี้ยงไปทั้งประเทศ รวมทั้งให้ส่งทหารจากซาอุฯ ยูเออี ฯลฯ เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว ชนิดแทบไม่ต่างไปจากการร่วม “ฉีกประเทศซีเรียออกเป็นชิ้นๆ” ดังที่เคยกล่าวไปแล้ว แต่ที่ “อันตราย” เอามากๆ...ก็คือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลอเมริกันและอิสราเอล ที่เซ็นข้อตกลงว่าจะร่วม “ต่อต้านอิทธิพลอิหร่าน” ในทุกๆ ด้าน ทุกๆ แง่มุม ทุกๆ พื้นที่ในตะวันออกกลาง เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา...

เพราะด้วยความร่วมมือที่ว่านี้นี่เอง...ทำให้ช่วงที่อเมริกา-อังกฤษ-ฝรั่งเศส ใช้ข้ออ้างเรื่อง “อาวุธเคมีในซีเรีย” สาดจรวดโทมาฮอว์คถล่มประเทศนี้นับร้อยๆ ลูก อิสราเอลเลยได้จังหวะฉวยโอกาสร่วมด้วยช่วยกระทืบ ส่งเครื่องบินโจมตี F-15 เข้าไปถล่มฐานทัพอากาศ “T-4” ของอิหร่านในซีเรีย แถวๆ เมือง Homs ยิงจรวดเข้าไป 5 ลูก ถูกยิงตกซะ 3 แต่ที่เหลือรอดก็สามารถส่งผลให้ด้านตะวันตกของสนามบินพังพินาศกันไปไม่น้อย ทหารอิหร่านตายไปร่วมโหล ที่ปรึกษาทางทหารตายไป 7 ชนิดที่ทำให้เลขาธิการสภาความมั่นคงสูงสุดของอิหร่าน “นายอาลี ชามคานี” (Ali Shamkhani) ต้องออกมาป่าวประกาศเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมาว่า การ “ตีหัวเข้าบ้าน” (Hit-and-Run) ของอิสราเอลคราวนี้ จะต้องได้รับการแก้แค้น เอาคืนอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่ว่า...เมื่อไหร่-อย่างไร-และตอนไหน ขึ้นอยู่กับรัฐบาลอิหร่านจะเป็นผู้ตัดสินใจอีกที...

หรือสรุปรวมความก็คงประมาณว่า...ภายใต้สถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ซับซ้อนอ่อนไหว เต็มไปด้วยความหวาดระแวงของแต่ละฝ่ายยิ่งขึ้นทุกที ผู้ที่ถือเป็น “ตัวอันตราย” แบบสุด หรือผู้ที่มีขีดความสามารถพอที่จะจุดชนวน “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” ให้ลุกโพลงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ก็คือบรรดา “ชาวยิว” ผู้ครองอำนาจอยู่ในรัฐบาลอิสราเอลทุกวันนี้นี่เอง ส่วนรัฐบาลอเมริกันนั้นก็พอเป็นที่รู้ๆ มานานแล้วว่า เอาไป-เอามา...ก็คือ “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” มาโดยตลอด ความเป็นชาตินิยมแบบ “คลั่งชาติ” การนับถือศาสนาแบบ “คลั่งศาสนา” ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการตีความว่าชาวยิวคือ “ชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรรแล้ว” เพียงชาติเดียวเท่านั้น ความพยายามอ้างอิงคัมภีร์ศาสนา ว่า “ดินแดนแห่งพันธสัญญา” หรือดินแดนที่พระผู้เป็นเจ้าของชาวอิสราเอล มอบให้กับ “อับราฮัม” มาตั้งแต่แรก มีอาณาเขตไม่ใช่แค่เฉพาะขอบเขตประเทศอิสราเอลในปัจจุบันเท่านั้น แต่กว้างขวางใหญ่โต ชนิดรวมเอาพื้นที่ประเทศปาเลสไตน์ เลบานอน จอร์แดน ซีเรีย บางส่วนของอิรัก เลยไปถึงตุรกีโน่นเลย ฯลฯ ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “Greater Israel”หรือ “Eretz Yisrael Hashlema” อันปรากฏอยู่ในแนวคิด ในอุดมการณ์ อุดมคติของผู้นำอิสราเอลยุคแรกๆ อย่างอดีตประธานาธิบดี “เดวิด เบน-กูเรียน” (David Ben-Gurian) เป็นต้น จึงทำให้รัฐบาลอิสราเอลหลายต่อหลายรัฐบาลในยุคต่อๆ มา รวมทั้งรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” กลายเป็นรัฐบาลที่ “อันตราย” หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุเพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อมนุษย์ผู้อื่น ที่ไม่ได้เป็นชาวอิสราเอล จนส่งผล “มนุษย์ชาวยิว” อย่างคุณน้อง “นาตาลี พอร์ตแมน” เธอมิอาจ “ทำใจ” รับได้นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น