ผู้นำสหรัฐอเมริกาอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำให้คนทั้งโลกเห็นว่าชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ในโลกที่ 3 หรือพวกด้อยพัฒนาล้าหลัง เมื่อได้เห็นพฤติกรรมของผู้นำที่คนอเมริกันกว่า 72 ล้านอยากให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป
ส่วนอเมริกันที่ว่านั้นส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาวเสียด้วย มีมาตรการการครองชีพดีกว่าคนสีผิวอื่นๆ โดยทั่วไป เป็นแกนหลักของสังคมประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว
แต่การทำตัวเป็นคน “ขี้แพ้ชวนตี” เจ้าคิดแค้นอาฆาตพยาบาทจองเวร อิจฉาริษยา จนไม่ยอมทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ เคารพกฎ กติกาต่างทำให้เหลือเชื่อ
ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในรอบ 200 กว่าปี เพิ่งมีทรัมป์เป็นคนที่ 2 ซึ่งไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แม้คะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีจะทิ้งห่างกันหลุดลุ่ย
และคนอเมริกันกว่า 72 ล้านยังชื่นชอบทรัมป์ ทั้งๆ ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจสุดๆ ทั้งหน้าด้านหน้าทน โกหกซึ่งหน้าตาไม่กะพริบ ใช้ข้อมูลเท็จหลอกทุกคน
เอาคำอ้างไร้หลักฐานไปยื่นฟ้องศาลว่าทีมคู่แข่งคือ โจ ไบเดน เป็นฝ่ายโกงการเลือกตั้ง ศาลโยนคดีทิ้งไม่ต่ำกว่า 6 เรื่อง เพราะไม่มีหลักฐานหรือมูลเหตุน่าเชื่อถือ แม้กระนั้น ทรัมป์และสาวก รวมทั้งลูกชายคนโตทั้งสองก็ยังไม่รู้สึกอาย
แถมยังดันพ่อให้สู้แบบหัวชนฝา มีแต่ศรีภริยา เมลาเนีย ลูกสาว อิวองกา และลูกเขย จาเร็ด คุชเนอร์ ที่พยายามเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับความพ่ายแพ้ ก่อนที่ครอบครัวจะเผชิญกับความอับอายขายหน้าไปมากกว่านี้ แต่ทรัมป์ไม่ฟัง
ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดในประเทศด้อยพัฒนา สังคมป่าเมืองเถื่อนสุดขอบโลก ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นประเทศประชาธิปไตย ชาติมหาอำนาจ ทำตัวเป็นบรมครูสั่งสอนคนไปทั่ว ว่าต้องเคารพกฎกติกา รู้แพ้รู้ชนะ ไม่ชิงอำนาจอย่างป่าเถื่อนหรือใช้กำลัง
ทรัมป์เป็นคนพลิกทฤษฎี และความพร้อมของความเป็นคนในการเป็นผู้นำชาติ ทำให้คนในพรรครีพับลิกันที่รู้สึกอายบ้าง เกิดอาการพะอืดพะอม
ที่น่าสังเวชคืออาการจิตตกของทรัมป์ ไม่มีใครแก้ไขได้ เพราะเป็นความด้านรั้น ดันทุรังและถือดี ยโสโอหังลำพองตามประสามหาเศรษฐี ทั้งๆ ที่คะแนนของไบเดนทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ด้วยตัวเลข 306 ต่อ 232 ซึ่งในยุคทรัมป์ชนะครั้งก่อนเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อทรัมป์ชนะนางฮิลลารี คลินตัน ด้วยตัวเลข 306 ของคณะกรรมการเลือก ได้คุยฟุ้งว่าเป็นการชนะแบบถล่มทลาย แต่ครั้งนี้เกิดคู่แข่ง ทรัมป์กลับเงียบ
การเป็นประธานาธิบดีเป็นเกียรติภูมิสุดยอดของคนอเมริกัน แต่ถ้าได้เป็นเพียงสมัยเดียว พ่ายแพ้หมดรูปในสมัยที่ 2 ถือว่าเป็นความอัปยศเกินทนสำหรับทรัมป์ เพราะตัวเองไม่เคยเชื่อ ไม่เคยคิดว่าจะต้องพ่ายแพ้
ขณะนี้ทรัมป์เข้าตาจน สู้ทางศาลก็ไม่ได้ นับคะแนนรัฐตัดเชือกก็แพ้ขาด มีอย่างเดียวคือด้านอยู่ สกัดไม่ให้ทีมงานของไบเดนได้เข้าถึงเงินเตรียมการทีมเปลี่ยนผ่าน และไม่มีโอกาสได้รับฟังการอธิบายข้อมูลด้านข่าวกรองตามธรรมเนียมปฏิบัติ
ทรัมป์ยังยุให้คนออกมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องชัยชนะ ตะโกนให้ “หยุดการปล้นชัยชนะ” ทั้งๆ ที่การนับคะแนน คดีในศาลไม่มีข้อมูลใดบ่งชี้ว่าทรัมป์ชนะ
คนเดินขบวนประท้วงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงมีทั้งมวลชนจัดตั้ง กลุ่มขวาตกขอบ กลุ่มนักลุย และกลุ่มกองกำลังพลเรือนติดอาวุธ มีนักการเมืองและสมุนเป็นพวกหนุน โดยเฉพาะใน Roget Stone ซึ่งเพิ่งได้รับการลดโทษโดยทรัมป์
ทรัมป์ทำตัวเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก อยู่ไปวันๆ จนถึง 20 มกราคม 2021 วันเปลี่ยนถ่ายอำนาจให้ไบเดน แต่กว่าจะถึงวันนั้น ขอออกฤทธิ์ออกเดชให้เต็มที่ สร้างปัญหาให้ไบเดนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำแบบไม่อายฟ้าดินด้วย
ที่น่าตกใจก็คือ ทรัมป์ปล่อยปละละเลยการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งได้สร้างความหายนะให้กับธุรกิจทั่วโลก โครงการใหญ่ต้องยกเลิกเพราะปัญหาการระบาดร้ายแรง หลายประเทศต้องยอมรับชะตากรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้
การระบาดติดเชื้อโคโรนาไวรัสทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตมากกว่า 2.45 แสนคน ติดเชื้อรายวันกว่า 1.50 แสนคน ยามอากาศหนาวอย่างนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าตัวเลขในเดือนกุมภาพันธ์จะติดเชื้อจำนวนสูง 2 แสนคน นับว่าไม่ไกลแล้ว
กว่าจะได้วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ฉีดสำหรับหยุดการระบาด ต้องรอเดือนหน้าเป็นส่วนหนึ่ง ถ้าจะให้คนอเมริกันทุกคน ต้องรอถึงเดือนเมษายน ซึ่งยังอีกนาน
ป่านนั้น ยอดคนติดเชื้อรายวันน่าจะทะลุผ่าน 2 แสนคนต่อวันสำหรับอเมริกัน ตัวเลขคนตายน่าจะสูงเกือบ 3.5 แสนคน เพราะการควบคุมไม่ดีเพียงพอ
ทรัมป์ไม่สวมหน้ากาก ทำให้คนทำเนียบขาวสำนักงานสายลับอารักขาผู้นำเกือบสิ้นสภาพเพราะล้มป่วยหลายคน และเป็นความลับด้วยว่ามีการเจ็บป่วย
ไม่มีใครทำอะไรได้เพราะทรัมป์ไม่สั่งการ และไม่ทำงานเต็มที่ อยู่ไปแต่ละวันเหมือนเป็ดง่อย ไม่ใส่ใจไยดีต่ออนาคตของรัฐบาล มีเพียงรัฐมนตรีต่างประเทศ นายไมค์ ปอมเปโอ ที่ประกาศว่าทรัมป์จะเข้าทำงานเป็นสมัยที่ 2 ตามปกติ 20 มกรา
เป็นความพิลึกพิลั่นของคนระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ อย่างนี้อันตรายมาก!
มีคนแนะว่าถ้าทรัมป์อายมาก ทำใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเป็นทางการ ไม่มีความหมายอะไร ทุกคนรู้ว่าทรัมป์แพ้แบบหมดสภาพ ทนไม่ได้ที่จะยอมรับว่าแพ้คู่แข่ง ดังนั้นไปเพียงเข้าร่วมพิธีส่งมอบอำนาจเป็นเสร็จพิธีก็พอแล้ว
ถ้าทรัมป์ไม่ไปส่งมอบตำแหน่ง จะว่ากันอย่างไร ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้!