การเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกายังจบแบบไม่สะเด็ดน้ำ หลายเรื่องยังค้างคาโดยที่ไม่มีใครคาดได้ว่าจะลงเอยอย่างจริงจัง เรียบร้อยสมบูรณ์อย่างไรเมื่อผู้แพ้ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ยอมรับความปราชัยทั้งได้นำประเทศเข้าสู่มิติใหม่ของการเมืองสกปรก
นั่นคือการทำตัวเป็นคนขี้แพ้ชวนตี แสดงบทบาทเป็นตัวริษยาอาฆาตพยาบาท และจองเวร ไม่ยอมให้ผู้ชนะการเลือกตั้ง นายโจ ไบเดน ของพรรคเดโมแครต ได้รับตำแหน่งอย่างง่าย และยังจะทำทุกอย่างเพื่อสร้างความเสียหายให้กับประเทศทุกด้าน
ท่าทีเช่นนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงออกตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้วว่าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จะต้องสู้สุดฤทธิ์ สุดเดช จนถึงศาลสูง เพราะเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ตัวเองจะต้องถูกโกงและตัวเองไม่เป็นผู้แพ้ ถ้าจะแพ้ ก็เพราะถูกโกงอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากที่รู้ว่าคะแนนเป็นรองตั้งแต่เริ่มแรก และในช่วงปลายของการนับคะแนนใน 5 มลรัฐ ทรัมป์ ยังทำอย่างที่คนอื่นไม่กล้าทำ นั่นคือ สั่งให้เจ้าหน้าที่หยุดนับคะแนนและประกาศว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ ทั้งๆ ที่ตัวเองคะแนนตามหลังคู่แข่ง
เมื่อศาลสั่งให้นับคะแนนต่อไป ทรัมป์คงรู้ชะตากรรมว่าคะแนนคงไม่ชนะจึงปลีกวิเวกไปเล่นกอล์ฟในสนามส่วนตัว ขณะเดียวกันคงจะวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไปเพื่อให้อยู่ต่อในทำเนียบขาว ไม่ได้เล่ห์ก็เอาด้วยกล และความหน้าด้าน
เมื่อคะแนนปรากฏชัดว่าหมดทางที่จะชนะ ลูกเขย นายจาเร็ด คุชเนอร์ และนางเมลาเนีย ซึ่งเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของทรัมป์ ได้พยายามกล่อมให้สามีของเธอยอมรับความพ่ายแพ้ แทนที่จะดึงดันสู้แบบหัวชนฝาซึ่งจะพาให้ทุกฝ่ายต้องอับอายขายหน้า
มีข่าวว่าหลังจากได้รับคำอ้อนวอน ตัวทรัมป์เองรำพึงด้วยความแค้นสุมในหัวอกว่า “การพยายามเอาชนะการเลือกตั้งก็ยากมากอยู่แล้ว แต่การจะให้ทำใจต้องยอมรับความพ่ายแพ้นั้นยิ่งยากกว่า ดังนั้นไม่ยอมเด็ดขาด”
ผลที่ตามมาก็คือคำประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง สั่งให้สมุนบริวารทั้งหลายเดินหน้าทำงานต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งมีลูกยุจากลูกชายทั้งคู่และวุฒิสมาชิกสายเหยี่ยวมาเป็นแรงกระตุ้นให้สู้ต่อด้วยแล้ว ท่านผู้นำที่สิ้นท่าจึงฮึดสู้ต่อไป
จากการกระทำและท่าทีเช่นนั้นทำให้ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่า ท่านผู้นำจอมอาฆาตจะทำทุกอย่าง ขัดขวางไม่ให้ผู้ชนะได้เข้าทำเนียบขาวในเร็ววัน ขัดแย้งกับธรรมเนียมปฏิบัติว่าจะต้องเปิดทางให้ทีมงานเปลี่ยนผ่านอำนาจได้เตรียมการจัดการงานเพื่อความต่อเนื่อง
โจ ไบเดนรับทราบการกระทำอย่างนั้นด้วยอารมณ์สงบนิ่งเหมือนกับรับรู้ว่าจะต้องเกิดเหตุอย่างนั้น พร้อมบอกว่าให้ทุกฝ่ายพยายามเดินหน้าต่อไปด้วยใจเย็นๆ และรอดูว่าถ้าฝ่ายของโดนัลด์ ทรัมป์ กล้ายอมรับ เผชิญความอับอายก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกันรัฐมนตรียุติธรรมนายวิลเลียม บาร์ ได้สั่งการให้อัยการทั่วประเทศสอบสวนประเด็นสงสัยว่าจะมีความผิดปกติในการเลือกตั้งทั้งๆ ที่ข้ออ้างของโดนัลด์ ทรัมป์ก่อนหน้านี้เรื่องการทุจริตยังไม่มีหลักฐานปรากฏยืนยัน แต่ทนายบาร์ ก็ไม่ใส่ใจ
รัฐมนตรีต่างประเทศ นายไมค์ ปอมเปโอ ยิ่งมีการกระทำหนักข้อเข้าไปใหญ่ สั่งการให้เจ้าหน้าที่กระทรวงทำงานต่อไปและบอกว่าวันที่ 20 มกราคม จะเป็นการเริ่มต้นของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์สมัยที่สอง นี่ยิ่งสุดโต่ง สิ้นเกียรติภูมิ ความน่าเชื่อถือ
พฤติกรรมอาฆาตพยาบาทจองเวรของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เริ่มปรากฏเมื่อได้ออกคำสั่งไล่รัฐมนตรีกลาโหม นายมาร์ค เอสเปอร์ ออกจากตำแหน่ง
คนที่ถูกคาดว่าจะโดนไล่ออกต่อไปก็คือ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางซีไอเอ นางจีนา แฮสเพล และผู้อำนวยการสำนักเอฟบีไอ นายคริสโตเฟอร์ เรย์ เพราะคนเหล่านี้ถูกมองว่าไม่ทำตามคำสั่งและตามใจท่านผู้นำ
ยิ่งกว่านั้นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงกลาโหม 4 นายถูกไล่ออกหรือลาออกและคนเข้าไปแทนล้วนเป็นสมุนซึ่งจงรักภักดีต่อท่านผู้นำ ซึ่งจะต้องสร้างความโกลาหลต่อไป
การกระทำอย่างนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะสร้างปัญหาให้มากที่สุดในองค์กรต่างๆ เพื่อไม่ให้คนที่จะมารับช่วงงานนั้นมีความสะดวก ต้องให้ติดขัดทุกขั้นตอน
สำนักงานบริหารบริการทั่วไปหรือที่มีตัวย่อว่าจีเอสเอนั้น มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำงานตามปกติและงดให้ความร่วมมือกับทีมงานของโจ ไบเดน ทุกกรณีและทำเหมือนกับว่ารัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ยังจะต้องอยู่ต่อไป
ทรัมป์ยังประกาศว่าจะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทั้งๆ ที่เหลือเวลาน้อยกว่า 70 วันสำหรับการยื้อ สร้างความหายนะให้กับประเทศโดยไม่คำนึงถึงผลเสียหาย
มีคนคาดการณ์ว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะออกคำสั่งนิรโทษกรรมให้บรรดาสมุนบริวารทั้งหลายที่ต้องคดีอาญาและติดคุกอยู่ให้พ้นโทษ เพื่อไม่ให้คนเหล่านี้ได้เป็นพยานในกรณีที่ตัวเองจะต้องตกเป็นจำเลยในคดีอื่นๆ หลังจากออกจากตำแหน่งผู้นำทำเนียบขาว
และจะไม่เหนือความคาดหมาย ถ้าท่านผู้นำจะออกคำสั่งนิรโทษกรรมตัวเอง รวมทั้งสมาชิกครอบครัว พนักงานขององค์กรบริษัทต่างๆ ของตัวเอง ถ้ามีการสอบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับเรื่องทุจริต เลี่ยงภาษีรวมถึงความไม่โปร่งใสต่างๆ ในการทำธุรกิจ
อย่าคิดว่าคนอย่างโดนัลด์ ทรัมป์จะไม่กล้าทำในสิ่งที่ผู้นำประเทศในอดีตไม่กล้าทำ เพราะที่ผ่านมาก็ได้มีพฤติกรรมเหนือความคาดหมายสารพัด ทั้งการโกหกพกลมให้ข้อมูลเท็จ ให้ความจริงครึ่งเดียวรวมถึงการบิดเบือนความจริงในหลายกรณีเพื่อให้ตัวเองรอด
การเมืองมิติแห่งความอัปยศของสหรัฐฯ ครั้งนี้จึงถูกมองว่าเต็มไปด้วยเกมสกปรกไม่มีคำว่ารู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยมีแต่ความอาฆาตพยาบาท ซึ่งไม่สมกับเป็นสังคมประชาธิปไตยของชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และจะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามโดยประชาคมโลก
ยังไม่มีใครทำนายได้ว่าศึกเลือกตั้งครั้งนี้จะจบอย่างไรเมื่อถึงวันที่ 20 มกราคม และจะมีการส่งมอบตำแหน่งกันหรือไม่ถ้าต้องต่อสู้กันถึงศาลสูง ที่น่ากลัวคือถ้าศาลสูงสั่งให้โดนัลด์ ทรัมป์แพ้ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้อีกจะเกิดอะไรขึ้น คนทั้งโลกต้องเฝ้ามองต่อไป