ต้องเรียกว่า... “ซ่าส์ส์ส์” จนหยดสุดท้ายเอาเลยทีเดียวเจียว สำหรับประธานาธิบดีอเมริกาที่กำลังกลายอดีต อย่าง “ทรัมป์บ้า” คือถึงแม้เหลือเวลาแค่ไม่ถึง 2 เดือนเท่านั้นเอง ก็อาจต้องส่งมอบหน้าที่และตำแหน่งประธานาธิบดีให้คู่แข่งอย่าง “โจซึมเซา” โดยเฉพาะถ้าหากการกล่าวหา กล่าวร้าย ในเรื่อง “โกงเลือกตั้ง-ขโมยเลือกตั้ง” โดยพรรคเดโมแครตที่ยังหาหลักฐาน ข้อพิสูจน์ หามูลอุจจาระสุนัขสักกองยังแทบหาไม่ได้ โอกาสที่จะต้องไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี แถมอาจโดน “หย่า” อีกต่างหาก จึงย่อมต้องกลายเป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้ แต่กระนั้นก็ตาม...ก็ยังอดไม่ได้ที่จะใช้อำนาจประธานาธิบดี สั่ง “ปลด” รัฐมนตรีกลาโหม “นายมาร์ค เอสเปอร์” ชนิดขาดสะพายแล่งกันเห็นๆ...
โดยว่ากันว่า...น่าจะเป็นเรื่องของความ “แค้นตาแม้น” นั่นแหละเป็นหลัก ที่รัฐมนตรีซึ่งตัวเองตั้งขึ้นมากับมือ หลังจาก “ถีบ” ใครต่อใครลงไปแล้วก่อนหน้านั้น เผลอไปสร้างความขัดอก-ขัดใจในเรื่องที่ “ไม่น่าจะเป็นเรื่อง” แต่ต้องกลาย “เป็นเรื่อง” ขึ้นมาจนได้เช่น การไม่ยอมส่งกำลังทหารเข้าไปปราบบรรดาผู้ประท้วง อย่างพวก “Black Live Matters” ในรัฐต่างๆ เพราะเห็นว่าอาจขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ อะไรทำนองนั้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา ที่เคยถูกเรียกขานโดยพวกปากหอย ปากปู ว่า “Mark Yesper” อันเนื่องมาจากความพยายามตามอก ตามใจประธานาธิบดี แบบสุดๆมาโดยตลอด ยังมิวายถูกปลดเอาดื้อๆ โดยหันไปคว้าผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย “นายคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์” (Christopher C. Miller) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งกันแทนที่ และทำให้อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอย่าง “นายมาร์ค เอสเปอร์” สรุปไว้ก่อนล่วงหน้าว่า รายนี้นี่แหละที่น่าจะถือเป็น “The Real Yes Man” แบบของจริงและของแท้ ไม่ใช่ “Yesper” อย่างตัวเองสักกะหน่อย...
แต่จะยังไงก็ตาม...โอกาสที่ “ทรัมป์บ้า” จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ ด้วยการป่วนโน่น ป่วนนี่ ไม่คิดจะออกจากทำเนียบขาว ไม่ยอมส่งมอบอำนาจโดยดี หรือโดยสันติ จนอาจต้อง “สิริยากร พุกกะเวส” (อุ้ม) กันในวินาทีสุดท้ายหรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาปี ค.ศ. 2020 ก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลง แม้ยังไม่ได้ป่าวประกาศอย่างเป็นทางการก็ตาม การผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำอเมริกาและผู้นำโลกของ “โจ ไบเดน” ที่อาจต้องเรียกขานในนาม “โจซึมเซา” (Sleepy Joe) หรือ “โจวิตถาร” (Creepy Joe) ตามสมญานามที่พวกสนับสนุน “ทรัมป์บ้า” ได้ให้ชื่อ ฉายา เอาไว้ก่อนหน้านี้ หรือไม่ อย่างไร อันนั้น...คงต้องคอยเฝ้าดูกิริยาอาการกันไปเป็นระยะๆ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอเมริกาเที่ยวนี้ คงต้องส่งผลมากบ้าง น้อยบ้าง ต่อบรรดาประเทศต่างๆ ในแต่ละซีกโลก อย่างมิพึงต้องสงสัย โดยจะเป็นไปในทาง “บวก” หรือ “ลบ” ย่อมขึ้นอยู่กับ “ตัวตน” ของแต่ละประเทศนั่นแหละ ว่าออกไปในแนวไหนและอย่างไร...
หรืออย่างว่าเอาไว้แล้วเมื่อช่วง 2 วันก่อน...ว่าบรรดาประเทศที่ชักออกอาการ “หลับไม่ลง” ก็น่าจะมีอยู่เป็นจำนวนมิใช่น้อย แต่ถ้าว่ากันโดย “ภาพรวม” หรือโดยลักษณะทั่วๆ ไป ก็น่าจะเป็นอย่างที่ “นายDavid Bailin” และ “นายSteven Wieting” หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของ “Citi Group” หรือ “Citi Private Bank” ได้ให้ข้อสรุปไว้กับสำนักข่าว “CNBC” เมื่อช่วงวันจันทร์ (9 พ.ย.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “ชัยชนะของโจ ไบเดน หมายถึงการกลับไปสู่การบริหารจัดการของรัฐบาล ที่อยู่ในร่อง ในรอย หรืออยู่ภายใต้ธรรมเนียมปฏิบัติมากยิ่งขึ้น และอาจหมายถึงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่สามารถหวนกลับไปเป็นมิตรกับบรรดาประเทศต่างๆ ได้อย่างสอดคล้อง กลมกลืน ความพยายามใช้พิกัดอัตราภาษีนำเข้า เป็นเครื่องมือในการสร้างแรงกดดันให้กับหลายต่อหลายประเทศ น่าจะยุติลงได้” หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...น่าจะ “บ้าน้อย” หรือน่าจะพอหลงเหลือ “สติ” มากกว่ายุค “ทรัมป์บ้า” อยู่แล้วแน่ๆ และอาจจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ ที่ส่งผลให้ “ตลาดหุ้น” หลายต่อหลายแห่ง พอได้เด้งๆดึ๋งๆ ขึ้นมามั่ง รวมทั้ง “ตลาดหุ้นไทย” บ้านเรา ที่ “กูรู” อย่างคุณพี่ “สุนันท์ ศรีจันทรา” ท่านได้ตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนล่วงหน้า...
โดยเฉพาะต่อสิ่งที่เคยเป็นอุปสรรค เป็นเครื่องกีดขวางการค้า การลงทุน อย่างร้ายแรง นั่นคือ “สงครามการค้า” ระหว่างคุณพ่ออเมริกาและคุณพี่จีน ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งและอันดับสองของโลก ที่หันมาไล่ฟัด ไล่งับ ไล่ถีบ ไล่กระทืบซึ่งกันและกัน จนบานปลายกลายเป็น “สงครามเทคโนโลยี” และ “สงครามเย็นยุคใหม่” อย่างค่อนข้างที่จะชัดเจน ชนิดหวิดๆ จะเกิดการ “เผชิญหน้าทางทหาร” ในทะเลจีนใต้ ช่องแคบไต้หวัน ไปจนตลอดภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก แบบเที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า โดยแม้ว่าความเกลียดจีน กลัวจีน อันก่อให้เกิดโรค “Sino-Phobia” ระบาดไปทั่วสังคมอเมริกา อย่างชนิดยากจะรักษาให้หายขาดได้ง่ายๆ แต่จากกิริยาท่าทีของผู้นำรายใหม่อเมริกา โดยเฉพาะที่ให้ข้อสรุปไว้ว่า...จีนคือ “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “ภัยคุกคาม” ของอเมริกาหลายต่อหลายรายเลยเกิดความหวังขึ้นมามั่งเล็กๆน้อยๆ ว่ากระแสความเชี่ยวกราก ความร้อนแรง ที่เคยระเบิดเถิดเทิงมาโดยตลอดในยุค “ทรัมป์บ้า” น่าจะพอเพลาๆ หรือพอลดระดับลงไปได้บ้าง...
แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าความร้อนแรงในด้านการค้า การเมือง การทหาร อาจพอได้เย็นๆ ลงไปมั่ง แต่ก็คงไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปในทาง “โลกสวย” แต่อย่างใดไม่ ตรงกันข้าม...อาจก่อให้เกิดความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และเพื่อนทรยศหนักขึ้นไปอีกก็ไม่แน่ อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญในเมืองจีน “นายSun Xihui” แสดงความคิด ความเห็น ไว้ใน “Global Times” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า โอกาสที่อเมริกาในยุค “โจซึมเซา” จะหันกลับไปคว้าแนวคิดและโครงการอย่าง “TPP” (Tran-Pacific Partnership) กลับมาปัดฝุ่นกันใหม่ เพื่อหาทาง “กีดกันจีน” ออกจากความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ภายในอาณาบริเวณที่ว่านี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย หรืออย่างที่ผู้เชี่ยวชาญอีกราย “นายSong Zhongping” ให้ความเห็นไว้ในแหล่งที่มาเดียวกันถึงแนวคิดทางทหารที่ถูกเรียกขานในยุค “ทรัมป์บ้า” ว่า “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” (Indo-Pacific Strategy) อะไรประมาณนั้น ว่าคงไม่ได้เลือนหายไปกับอดีตผู้นำอเมริการายนี้แต่อย่างใด แต่อาจทวีความซับซ้อน โดยอาศัยความเป็น “พันธมิตรทางทหาร” ที่เริ่มก่อรูป ก่อร่าง เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างที่รู้จักกันในนามกลุ่ม “QUAD” หรือกลุ่มสี่เหลี่ยมด้านเท่า ที่รัฐบาลในยุค “ทรัมป์บ้า” พยายามยกระดับให้กลายเป็น “นาโตแห่งเอเชีย” เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะโดยจุดมุ่งหมายของ “โจซึมเซา” ก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากรัฐบาล “โอมาบ้า” (โอบามา) มากมายสักเท่าไหร่ คือสุดท้าย...หนีไม่พ้นต้องหาทางถ่วงดุล หรือปิดล้อมจีน ภายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอยู่แล้วแน่ๆ...
แต่ภายใต้ความเป็น “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “ภัยคุกคาม” นี่เอง...ที่อาจทำให้คุณพี่จีน มีสิทธิ์กลายเป็นฝ่าย “ได้เปรียบ” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในแง่ของการแข่งขันทางการค้า ที่ว่ากันว่า...ภายใน 5 ปีนับจากนี้ หรือภายใต้ “แผน 5 ปี” ที่เพิ่งผ่านการประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 19 เมื่อช่วงวันที่ 26-29 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เชื่อๆ กันว่าภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ โอกาสที่ตัวเลขจีดีพีของจีน จะโตแบบต่อเนื่องในระดับ 6-8 เปอร์เซ็นต์ไปโดยตลอด หรือน่าจะทำให้จีดีพีของจีน มาแรงแซงโค้ง แซงประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างคุณพ่ออเมริกาได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะภายใต้สภาพความเป็นไปของอเมริกาในทุกวันนี้ ต้องเรียกว่า...มีแต่จะ “กรอบเป็นข้าวเกรียบ” หนักยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะในแง่ค่าเงินดอลลาร์ ตลาดหุ้น ดุลงบประมาณ ไปจนภาระหนี้สิน ที่ทำให้จักรวรรดิอเมริกากลายเป็น “จักรวรรดิแห่งหนี้สิน” หรือ “Empire of Debt” ชนิดหาทางผุด ทางเกิด แทบไม่เจอ และยิ่งเมื่อได้ “โจซึมเซา” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเข้าไปอีกดอก โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกไปทางซึมๆ เซาๆ เชื่องช้าและหงอยเหงา เผลอๆ อาจ “หัวใจวาย” ตายก่อนครบเทอม ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...