เอเอฟพี - “ทรัมป์” ปลดฟ้าผ่ารัฐมนตรีกลาโหม หลังขัดใจมานานเรื่องที่ไม่ยอมส่งทหารไปปราบม็อบในประเทศ นอกจากนั้นยังคาดหมายกันว่าอดีตพิธีกรเรียลิตีโชว์ผู้นี้กำลังเล็งไล่ผู้อำนวยการเอฟบีไอ และซีไอเอออก เพราะไม่พอใจที่ทั้งคู่ไม่ช่วยเหลือเพื่อให้ตัวเองได้กลับเข้าทำเนียบขาวอีกสมัย
ในวันจันทร์ (9 พ.ย.) ขณะที่เหลือเวลาอยู่ในตำแหน่งอีกเพียง 10 สัปดาห์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปลด มาร์ก เอสเปอร์ จากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม และสื่อหลายสำนักรายงานว่า ทรัมป์กำลังพิจารณาปลด คริส เรย์ และจีนา แฮสเปล ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) และสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ตามลำดับ หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยแสดงความผิดหวังที่เรย์และแฮสเปลไม่ช่วยสนับสนุนให้ตนเองได้รับเลือกตั้งกลับเข้าทำเนียบขาว
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ทรัมป์ยังปลดเจ้าหน้าที่ดูแลโครงการที่จัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแล้วซึ่งจะเปิดโอกาสให้เขาแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คนใหม่ที่เป็นพวกสงสัยข้องใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนเหมือนกับตนเข้าแทนที่
การปลดเอสเปอร์ทำให้นักการเมืองอาวุโสและอดีตเจ้าหน้าที่หลายคนออกมาเตือนทรัมป์ เช่น มาร์ก วอร์เนอร์ วุฒิสมาชิกอาวุโสพรรคเดโมแครต และกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภา ชี้ว่า สิ่งสุดท้ายที่อเมริกาต้องการ คือ การเพิ่มความปั่นป่วนในสถาบันที่มีหน้าที่ปกป้องความมั่นคงของประเทศ และสำทับว่าทรัมป์ต้องไม่เพิ่มความเสี่ยงด้วยการปลดเจ้าหน้าที่ข่าวกรองหรือความมั่นคงที่ได้รับการรับรองจากวุฒิสภาอีกระหว่างช่วงเวลาที่ยังเหลืออยู่นี้
พลเรือเอก เจมส์ สตาฟริดิส นายทหารเกษียณอายุที่เป็นอดีตผู้บัญชาการกองกำลังนาโต ทวิตว่า ทรัมป์กำลังทำให้ความมั่นคงของชาติตกอยู่ในความเสี่ยง และว่า หากทรัมป์ปลดผู้อำนวยการซีไอเอและเอฟบีไอ ซึ่งล้วนเป็นมืออาชีพและมีความรักชาติ อเมริกาจะเผชิญสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ในช่วง 90 วันข้างหน้า
ทั้งนี้ เอสเปอร์เป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนที่ 4 ในคณะบริหารทรัมป์ และการปลดเอสเปอร์สะท้อนความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างเพนตากอนกับประมุขทำเนียบขาว
เช่นเดียวกับเจ้ากระทรวงเพนตากอนคนก่อนๆ เอสเปอร์ วัย 56 ปี พยายามไม่ทำตัวโดดเด่นทางการเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ทรัมป์โกรธ แต่สุดท้ายก็เกิดความขัดแย้งขึ้นจนได้จากการที่ทั้งเอสเปอร์และพลเอกมาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม ไม่เห็นด้วยที่ทำเนียบขาวพยายามกดดันให้ส่งกำลังทหารของรัฐบาลกลางไปปราบปรามการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติที่ลุกลามไปทั่วประเทศนับจากเหตุการณ์ที่ตำรวจฆาตกรรมจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำในเมืองมินนิอาโปลิส ด้วยการใช้เข่ากดทับคอจนขาดอากาศหายใจเมื่อเดือนพฤษภาคม
เดือนต่อมา ทรัมป์ประกาศโดยไม่แจ้งเอสเปอร์ก่อนว่า จะลดกำลังทหารสหรัฐฯในเยอรมนีลงครึ่งหนึ่ง รวมทั้งยังกดดันให้เร่งถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถานก่อนกำหนดหลังจากอเมริกาทำข้อตกลงกับกลุ่มตอลิบานเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ทว่า เอสเปอร์ยืนยันว่า ควรคงทหารอเมริกันไว้ 4,500 นายหลังจากเดือนนี้ จนกว่าตอลิบานจะปฏิบัติตามสัญญาในการลดความรุนแรง
เอสเปอร์ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกเวสต์พอยต์ กับไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ทำงานในอุตสาหกรรมกลาโหมมานานหลายปีก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกองทัพบกในปี 2017
เขาเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 และจัดการปรับโครงสร้างกระทรวงและปรับยุทธศาสตร์ทางทหารทั่วโลกของอเมริกาโดยมุ่งเน้นที่การต่อต้านรับมือจีน
เอสเปอร์สนับสนุนเป้าหมายบางอย่างของทรัมป์ เช่น การจัดตั้งกองบัญชาการกอง
กำลังอวกาศ เป็นอีกกองทัพหนึ่งแยกต่างหาก รวมทั้งโยกงบประมาณการซ่อมบำรุงอาวุธและฐานทัพไปสร้างกำแพงสกัดการลักลอบข้ามแดนตามแนวชายแดนอเมริกา-เม็กซิโก หลังจากรัฐสภาไม่ยอมอนุมัติงบสนับสนุนเรื่องนี้โดยตรง
เขายังลดขนาดกองทหารอเมริกันในซีเรียเพื่อตอบสนองคำสัญญาของทรัมป์ระหว่างการหาเสียงในปี 2016 ว่า จะนำทหารกลับบ้าน
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้แต่งตั้งคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ เข้ารักษาการตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม
มิลเลอร์ เคยเป็นทหารรับใช้ชาตินาน 31 ปี และเคยทำงานกับกองกำลังพิเศษในอัฟกานิสถานในปี 2001 และอิรักในปี 2003 เขายังเคยรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายของทรัมป์ รวมทั้งดูแลปฏิบัติการพิเศษที่ขึ้นตรงกับรัฐมนตรีช่วยกลาโหมระหว่างเดือนมกราคมถึงสิงหาคมปีนี้