หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ความฮึกเหิมของบรรดาแกนนำของผู้ชุมนุมที่มีผู้ใหญ่หลายคนส่งเสริมให้ท้ายและคอยยุยงให้ทะลุทะลวงเพดานมากขึ้นเรื่อยๆนั้น ทำให้เห็นว่า ตอนนี้มีทางเดียวที่พวกเขาจะรอดพ้นจากคดีความก็คือ ต้องล้มล้างอำนาจรัฐให้ได้ และกลายเป็นรัฏฐาธิปัตย์เสียเอง
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาจะหาทางลงหากไม่ได้ชัยชนะ หรือมีอีกทางออกเดียวที่พอมองเห็นก็คือ การขอลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศกลายเป็นพลเมืองชั้นสองในประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือไม่เช่นนั้นก็จะมีคดีความติดตัวที่จะต้องเดินขึ้นศาลกันตลอดชีวิต เพราะสิ่งที่พวกเขากระทำนั้นไม่เคยมีผู้ชุมนุมต่อต้านอำนาจรัฐกลุ่มไหนเคยทำมาก่อน และเป็นการท้าทายอำนาจและกฎหมายของรัฐอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เชื่อเลยว่า วันนี้สังคมไทยส่วนใหญ่ที่คอยติดตามการชุมนุมของพวกเขาอยู่ต่างก็รู้แล้วว่า เขาต้องการประชาธิปไตยหรือต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐกันแน่
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยให้สัมภาษณ์ กับ “วรพจน์ พันธุพงศ์” ไว้ในหนังสือ “Portrait ธนาธร” ว่า การได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดในการลงสนามการเมืองครั้งนี้
“ยังกระดากปากนิดหน่อยที่ต้องพูดว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มันก็โอเค ว่ากันตามบท และต้องย้ำว่าสิ่งที่เราอยากเห็นคือการเปลี่ยนแปลงประเทศ อันนี้ชัดเจน ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนแปลงประเทศ”
เขาบอกว่า “ตำแหน่งที่ลิมิตสูงสุด...มีอำนาจมากพอที่จะไปต่อรอง...ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่เราพูดไม่เป็นความจริง พูดง่ายๆ มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียว เราถึงโดนฝ่ายก้าวหน้าด่า ถามว่าเรารู้มั้ย...มันก็รู้กันหมดแหละ ปัญหาคือใครจะทำยังไง เราคิดว่าวิธีการของเราคือต้องมีอำนาจ และต่อรอง”
คำถามว่าเป้าหมายสูงสุดของเขาคืออะไร ตำแหน่งที่มีลิมิตสูงสุดคืออะไร และใครที่เขาต้องการมีอำนาจมากพอที่จะไปต่อรองด้วย
“นี่ต่างหากคือเป้าหมาย ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เอาทหารออกจากการเมืองไม่ได้หรอก จัดการเรื่องนี้ไม่ได้ จัดการเรื่องศาลไม่ได้หรอก...ถามว่ารู้มั้ย รู้ แต่มันพูดไม่ได้ ยังมีข้อจำกัด”
“ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือเปลี่ยนแปลง”
หากย้อนไปดูคำพูดที่ธนาธรให้สัมภาษณ์ไว้ในตอนนั้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยตอนนี้ก็จะพบความจริงว่าสิ่งที่ธนาธรต้องการนั้นคืออะไร และวันนี้เขากำลังต่อรองกับใคร
แน่นอนว่าเรารู้กันว่า ข้อเรียกร้องของม็อบนั้นมี 3 ข้อคือให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก แก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมยืมยันว่าจะไม่ลดข้อเสนอลงมา ถ้าลดก็จะเหลือเพียงข้อเดียวคือการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสะท้อนว่านี่แหละคือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา
ต้องยอมรับนะครับว่า การชุมนุมของคนหนุ่มสาวนั้นก่อตัวมาตั้งแต่การยุบพรรคอนาคตใหม่และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของธนาธรและพวก เพราะคนหนุ่มสาวมองว่า ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เป็นตัวแทนของคนรุ่นพวกเขา
พวกเขามีความเชี่ยวชาญในการตลาด ในการสร้างคนๆหนึ่งซึ่งไม่เคยได้ทำอะไรที่ประสบความสำเร็จให้สังคมประจักษ์มาก่อน และความสำเร็จในทางธุรกิจก็เพียงแต่พึ่งพาฐานะของครอบครัวที่พ่อสร้างขึ้นมาและมีแม่เป็นคนขับเคลื่อนไม่ใช่สร้างด้วยสองมือและมันสมองตัวเอง แต่สามารถกลายเป็นคนที่ทำให้เด็กๆและคนหนุ่มสาวเชื่อว่าเป็นความหวังและตัวแทนของเขาได้
ที่สำคัญมีผู้ใหญ่ไม่น้อยที่เชื่อว่าธนาธรนี่แหละคือความหวังของสังคมไทย
แต่หากย้อนไปดูอดีตของเขา ตอนที่บริหารธุรกิจของตัวเองธนาธรเคยมีปัญหาเรื่องโบนัสกับพนักงานในสังกัดของตัวเอง เมื่อธนาธรอ้างว่า ตอนนั้นบริษัท ไทยซัมมิท อีสเทิร์น ซีบอร์ดฯ ซึ่งอยู่ในเครือเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาไม่นาน ผลประกอบการก็ยังไม่ดี สิ่งที่สหภาพฯ เรียกร้องคือต้องได้โบนัสเท่ากับบริษัทแม่ คือ 7 เดือน แต่ธนาธรให้ไม่ได้
และเมื่อตกลงกันไม่ได้ ธนาธรจึงใช้ช่องทางกฎหมายปิดบริษัท พนักงานคนไหนเห็นด้วยกับบริษัทรับโบนัส 4 เดือนก็เอากลับเข้ามาทำงาน ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ การลอยแพไม่เอาก็ออกไปนั่นเอง
ตอนนั้น ธนาธรอ้างว่า แม้ภาพรวมของบริษัทใหญ่มีกำไรสูงและพนักงานได้โบนัสสูง แต่บริษัทในเครือก็ควรจะได้ตามผลประกอบการของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเท่ากันแม้จะมีบริษัทแม่เดียวกันและเจ้าของคนเดียวกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเขาเป็นผู้นำความคิดแบบนี้จะถูกนำมาใช้กับคนไทยไหม ท้องถิ่นไหนที่ทำประโยชน์ให้จะได้รับการดูแลจากรัฐมากกว่า
ไม่ต้องสงสัยว่าธนาธรให้การสนับสนุนม็อบหรือไม่ เราเห็นเขาไปปรากฏตัวในที่ชุมนุมหลายครั้งรวมถึงเห็นภาพการพบปะหารือส่วนตัวกินลาบกับบรรดาแกนนำหลักที่โลดแล่นอยู่บนเวทีวันนี้
ความผิดพลาดจากการมุ่งสู้ในระบบของธนาธรล้มเหลวลงเพราะความบกพร่องในข้อกฎหมายของเขาเอง ทำให้ความมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศในระบบของเขาต้องหยุดชะงักไปอย่างน้อยสิบปีที่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง เมื่อรวมกับชะตากรรมที่ยังไม่รู้ว่าต้องรับโทษทางอาญาหรือไม่ ดังนั้นทางออกเดียวของเขาก็คือ ต้องร่วมสู้กับม็อบและดันทุกอย่างให้ทะลุเพดานเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกลับมานั่นเอง
วันนี้เราได้ยินม็อบพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และเอ่ยพระนามของในหลวงรัชกาลที่ 10 ราวกับเป็นเพื่อนเล่นของพวกเขา กล่าวหาพระมหากษัตริย์บนเวทีบนถนนด้วยความถ้อยคำหยาบคาย และกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่างๆนานาอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง การกล่าวหาดังกล่าวอย่าว่าแต่มีกฎหมายที่ได้รับการคุ้มครองในฐานะพระประมุขของประเทศเลย แม้แต่กฎหมายสำหรับคนธรรมดาก็ยังเข้าข่ายความผิดเลย
แม้พวกเขาจะพยายามอธิบายให้สังคมหลงเชื่อว่า การปฏิรูปไม่ใช่การล้มล้าง แต่เนื้อหาที่พวกเขาแสดงออกนั้นชัดเจนว่า เป็นการล้มล้างไม่ใช่การปฏิรูป
วันนี้เด็กที่เขาสนับสนุนจึงเล่นใหญ่อย่างไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง และแสดงออกราวกับว่า ผู้มาชุมนุมนั้นเป็นตัวแทนคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ต้องการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับมีเสียงต่อรองด้วยว่า ถ้าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ยอมรับการปฏิรูปก็จะต้องเกิดการ “ปฏิวัติ”อย่างที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล ร้องขู่ หรือที่ อานนท์ นำภา หัวหอกขู่ว่า ถ้าทำอะไรที่พวกเขาไม่ปรารถนาจะต้องเจอกับรัฐธรรมนูญฉบับสาธารณรัฐอย่างแน่นอน
แต่ในความจริงไม่ว่าการ “ปฏิรูป”หรือ “ปฏิวัติ”นั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องเป็นเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ใช่คำขู่ลำพองของคนเพียงบางกลุ่ม ที่มีจุดมุ่งหมายที่ธนาธรบอกว่าเขาต้องการอำนาจที่จะต่อรอง เพื่อไปสู่ตำแหน่งที่สูงสุดที่ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ทั้งที่อำนาจสูงสุดในทางการเมืองของรูปแบบรัฐในปัจจุบันสำหรับนักการเมืองก็คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
และถ้าธนาธรจะไปไกลกว่านั้นก็ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐให้ได้เสียก่อน นั่นหมายความว่าเส้นทางที่จะไปถึงนั้นก็คือ การเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบสาธารณรัฐ ที่มีตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นแบบสหรัฐอเมริกาที่มีอำนาจบริหารด้วยหรือเป็นแบบสิงคโปร์ที่ประธานาธิบดีมีหน้าที่เพียงพิธีการ แต่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร
วันนี้เขาคงคิดว่าใกล้จะประสบความสำเร็จแล้วที่ทำให้เด็กออกมาท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่บนถนน เขาเชื่อว่ากลุ่มคนไม่กี่พันคนที่ออกมาร่วมบนท้องถนนกำลังบีบเส้นทางของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ตีบตันลง และสุดท้ายจะต้องยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของพวกเขาให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ ที่เขาคิดว่าเป็นงานของคณะราษฎร 2475 ที่ยังทำไม่สำเร็จและเขาจะต้องสานต่อให้จบลง
ถ้าไม่ยอม “ปฏิรูป” ก็ต้อง “ปฏิวัติ” และจบลงด้วยระบอบสาธารณรัฐตามคำข่มขู่
ดูเหมือนว่าพวกเขามองไม่เห็นพลังมวลชนอีกจำนวนมากในสังคมไทยที่ยังเชื่อมั่นศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์และมองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นรากของสังคมที่อยู่คู่กับชาติไทยมาหลายร้อยปี และพระมหากษัตริย์พระองค์ต่างๆล้วนทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองจนสามารถดำรงความเป็นชาติที่มั่นคงมาได้จนถึงทุกวันนี้
ซ้ำร้ายยังหมิ่นแคลนว่าพลังศรัทธาของคนไทยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นความเชื่อที่งมงาย
การทะลวงเพดานตามแรงเชียร์ของคนที่อยู่ข้างหลัง ของพวกผู้ใหญ่ที่ดันเด็กออกมาข้างหน้า นับวันยิ่งจะทำให้เด็กยากที่จะหาทางลง แล้วยิ่งได้ยินเสียงเชียร์อยู่ข้างหลังว่าสู้เข้าไป รัฐบาลแพ้แล้ว ม็อบกำลังชนะจุดติด จะมีคนมาหนุนเนื่องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็ช่วยไต่ความฝันให้แกนนำที่กำลังฮึกเหิมยิ่งถอยไม่ได้ เพดานจึงยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าตกลงมาก็พังกันหมดจบเกมตายหมู่
เมื่อบวกกับธรรมชาติของเด็กที่เคยถูกกดทับด้วยผู้ปกครองกฎเกณฑ์ของสังคม เมื่อได้มายึดครองถนนเหมือนดินแดนอิสระเป็นใหญ่ส่งเสียงด่าทอใครก็ได้ เราจึงเห็นหญิงสาวออกมาร่ายลีลากรีดกรายส่ายตะโพกไปตามจังหวะลีลาบนถนนอย่างเมามัน ได้ยินพวกเขาพูดเรื่องเพศเรื่องมีเพศสัมพันธ์กันอย่างโจ่งแจ้งบนถนน ผู้ใหญ่ที่ให้ท้ายก็ชมว่า เป็นการแสดงพลังเสรีสร้างสรรค์ความคิดทางวัฒนธรรมอย่างที่ไม่มีม็อบไหนในโลกนี้ทำได้มาก่อน ไม่ต้องไปยี่หระต่ออำนาจรัฐและจารีตของสังคม
แน่นอนว่าถ้าเด็กสามารถโค่นล้มค่านิยมเก่าลงได้ ศักดินาต้องพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ อย่างที่พวกเขาตะโกนกู่ร้อง ถ้าพวกเขาสามารถปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์สำเร็จด้วยข้อเสนอ 10 ข้อ ห้ามพระมหากษัตริย์ตรัสต่อสาธารณะ ห้ามรับเงินบริจาค ยกเลิกองคมนตรีที่เป็นมือไม้ในการทำงานให้หมดไปฯลฯ คนที่ฉกฉวยประโยชน์ไปก็คือ ธนาธร และถ้าพวกเขาทำสำเร็จเชื่อหรือว่า มันจะจบลงแค่การปฏิรูปไม่ก้าวไปสู่การล้มล้าง
เมื่อถึงวันนั้นธนาธรก็อาจจะไปไกลกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างที่หวัง และอาจจะไปไกลกว่านั้นถ้าเปลี่ยนรูปแบบของรัฐไปเป็นสาธารณรัฐ
ใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดเพื่ออำนาจที่จะต่อรองกับ...ของธนาธร
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan