เมื่อเจอกับคนที่เคยแต่ข่มเหงรังแกเหยียบย่ำคนอื่น เคยได้ชัยชนะก็ด้วยเล่ห์กลต่างๆ สารพัดพิษ
และกับคะแนนการเลือกตั้งปธน. ที่ว่าที่ปธน.คนที่ 46 คือ โจ ไบเดน ได้รับอย่างท่วมท้นทำลายประวัติศาสตร์ รวมทั้งชนะในรัฐที่เคยเป็นของรีพับลิกันมายาวนานเช่น แอริโซนา และจอร์เจีย
และมีการออกจดหมายเปิดผนึกจากเจ้าหน้าที่ระดับนำของกระทรวงพิทักษ์มาตุภูมิ ที่ดูแลความโปร่งใสของการเลือกตั้ง ยืนยันว่าการนับคะแนนไม่มีการโกงการเลือกตั้ง ดังข้อกล่าวหาของปธน.ทรัมป์ และลูกหาบของเขา ที่พูดย้ำก่อนการลงคะแนนเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ว่า ถ้าทรัมป์แพ้ก็เพราะ “ถูกโกง” การเลือกตั้ง ถึงกับมีการออกแฮชแท็กเลยว่า “Stop the Steal” หรือ หยุดการปล้นชัยชนะจากทรัมป์
ฝ่ายนำของรีพับลิกันตัวกลั่นเช่น ส.ว.มิตช์ แมคคอนเนลล์ ที่เป็นผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภา รวมทั้ง ส.ว.อาวุโส ลินซีย์ แกรมม์ ต่างออกมาประสานเสียงถือหางทรัมป์ ว่าขอให้นับคะแนนใหม่ในรัฐสมรภูมิที่ทรัมป์แพ้คะแนน และนายลินซีย์ แกรมม์ ฟันธงไปเลยว่า ทรัมป์ถูกโกงการเลือกตั้ง ถึงกับยอมควักกระเป๋าเพื่อมอบให้ทรัมป์เป็นค่าใช้จ่ายในการนับคะแนนใหม่ (คนที่ร้องขอให้นับคะแนนใหม่ ต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงินมหาศาล-และทรัมป์ รวมทั้งทนายของเขา ถูกศาลหลายรัฐไม่รับฟ้องในข้อกล่าวหาว่า ทรัมป์ถูกโกงเลือกตั้ง เนื่องจากหลักฐานไม่ปรากฏ รวมทั้งต้องถอนคำร้องขอนับคะแนนใหม่ในหลายรัฐ เพราะสู้ค่าใช้จ่ายมหาศาลไม่ไหวในการนับคะแนนใหม่)
เวลาผ่านจากการลงคะแนนไปแล้วถึง 20 วัน และเหลืออีกแค่ 60 วันจะถึงวันสาบานตนโดยทรัมป์สั่งทุกหน่วยงานของรัฐบาลกลางไม่ให้ความร่วมมือต่อทีมถ่ายโอนอำนาจของไบเดน ซึ่งมีอดีตผู้นำทำเนียบขาว เช่น อดีตนายพล 4 ดาวนาวิกโยธิน พลเอกจอห์น เคลลี อดีตรมต.กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิ และ Chief of Staff ของทำเนียบขาว ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเข้มข้นจริงจังว่า การบิดพลิ้วของทีมทรัมป์ไม่ให้ความร่วมมือในการถ่ายโอนอำนาจ จะสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงของชาติ เพราะทีมปธน.คนที่ 46 เมื่อเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม จะต้องพร้อมในการบริหารงานทันที ไม่ใช่เพิ่งมาเริ่มต้นถามหาข้อมูลของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ (อย่างที่รมต.ของไทยชอบพูดว่า-ต้องเข้ามาศึกษางานก่อน!!)... โดยเฉพาะในรายงานร่วม (bipartisan) เรื่องเหตุการณ์ 9/11 ที่อเมริกาถูกโจมตีในวันที่ 9 กันยายนปี 2001 นั้น ได้พบว่า มีการถ่ายโอนอำนาจช่วงเลือกตั้งปี 2000 ซึ่งชักช้าไป 37 วัน เพราะมีการถกเถียงกันถึงคะแนน 537 คะแนนที่ฟลอริดาที่ฝ่ายบุชชนะกอร์ และกอร์ขอให้นับคะแนนใหม่ จนล่วงเลยไปถึง Thanksgiving แล้วก็ยังนับกันยังไม่จบ...รายงานนี้สรุปว่า การถ่ายโอนที่เชื่องช้าเพราะการเลือกตั้ง, ไม่จบลงเร็วไวทำให้เกิดช่องว่างด้านการบริหารความมั่นคง...รวมทั้งเรื่องข่าวกรองของชาติ ที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายก่อการร้ายได้ช่องในการปฏิบัติการอย่างฉับไว และทำให้เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำสู่เหตุการณ์เรือบินชนตึกเวิลด์เทรด
ยิ่งช่วงวิกฤตหนักขณะนี้ ที่สหรัฐฯ เผชิญกับการระบาดโรคไวรัสร้าย และเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก นับเป็นวิกฤตร้ายแรงมาก ซึ่งการไม่ถ่ายโอนอำนาจ โดยรัฐบาลทรัมป์ยังนั่งทับข้อมูลต่างๆ ไม่เปิดทางให้ทีมใหม่ได้เข้ามารับรู้ เพื่อจัดการกับการแก้ไขปัญหาได้ทันในวันที่ 20 มกราคม นับเป็นการทำร้ายประเทศชาติอย่างยิ่ง
สำหรับไบเดน ได้พยายามหาทางเรียกความเชื่อมั่นในการนับคะแนนว่าโปร่งใส และความชอบธรรมที่เขาชนะอย่างท่วมท้น
โดยมีรายงานทั้งในนิตยสาร Fortune (ที่ปกติเป็นฝ่ายนิยมพรรครีพับลิกัน) และของสำนักข่าว VOA (Voice of America ซึ่งทรัมป์เพิ่งเปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่เมื่อต้นปี 2020 นี้เอง โดยเอาคนของตนให้เข้าไปคุมข่าว-ก่อนการเลือกตั้ง) ...ได้รายงานถึงการจัดประชุมภายใน ที่ไบเดนได้ร่วมกับ ศ.ดร.Jeffrey Sonnenfeld แห่งวิทยาลัยบริหารจัดการมหาวิทยาลัยเยล...เป็นการประชุมแบบ Virtual แต่เป็นการประชุมปิด โดยได้เชิญผู้นำธุรกิจระดับซีอีโอของบริษัทยักษ์สหรัฐฯ ประมาณ 20 คนเข้าร่วมหารือเมื่อวันศุกร์ที่ 6 พ.ย. โดยปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อทรัมป์ไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจ ซึ่งจะไม่ช่วยปธน.ไบเดนในการเข้าบริหารทันที ณ วันที่ 20 มกรา
ศ.Sonnenfeld เป็นผู้ออกมาเปิดเผยว่า ผู้นำธุรกิจต่างเห็นพ้องว่า ถ้าทรัมป์ยังไม่ยอมถ่ายโอน พวกเขาจะพยายามออกเป็นแถลงการณ์ร่วมกัน เพื่อเรียกร้องทรัมป์ต้องทำเพื่อประโยชน์ของชาติในยามวิกฤตนี้ และจะพยายามกดดันเหล่า ส.ส./ส.ว.รีพับลิกันให้ออกมายอมรับผลการเลือกตั้ง และยังบอกด้วยว่า ถ้าทีมทรัมป์จะฟ้องร้องว่านับคะแนนไม่โปร่งใสก็ให้ฟ้องแก้เกี้ยวไป แต่พวกเขาได้ดูคะแนนแล้ว และเชื่อถือความโปร่งใสของการเลือกตั้ง เขามั่นใจว่าไบเดนชนะขาวสะอาด
วันถัดๆ มา ก็มีการแสดงความยินดีจากซีอีโอและผู้นำธุรกิจไปยังไบเดน จากบิล เกตส์, เจฟฟ์ เบโซส์ แห่งอเมซอน และอีกหลายๆ นักธุรกิจคนดังๆ รวมทั้งนายเจมี ไดมอน แห่งธนาคารยักษ์ของสหรัฐฯ เจพีมอร์แกน เชส และซีอีโอของโกลด์แมน แซคส์ คือ เดวิด ซาโลมอน...ทั้งคู่บอกว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ส่งสัญญาณว่า ประชาธิปไตยของสหรัฐฯ แข็งแกร่งมาก เพราะมีการลงคะแนนท่วมท้นทำลายประวัติศาสตร์
ยังไม่พอ...ไบเดนได้จัดประชุมแบบ Virtual ในวันจันทร์ที่ 16 พ.ย. โดยเชิญผู้นำซีอีโอของบริษัทยักษ์ เช่น นางMary Barra ของ GM, นายSatya Nadella ของ Microsoft ประธานและซีอีโอของห้างค้าปลีกยักษ์ Target, ซีอีโอของ Gap โดยมาประชุมพร้อมๆกับประธานสหภาพยักษ์ของสหรัฐฯ นำโดย AFL-CIO สหภาพแรงงานใหญ่สุดด้านอุตสาหกรรมการผลิต; มีประธานสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์ มีประธานสหภาพยักษ์ด้านบริการ และประธานสหภาพพนักงาน (ขรก.) ระดับรัฐ, County และเทศบาล!!!
ไบเดนเปิดประชุมว่า ขณะนี้สหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในหลุมที่มืดมิด และข้างหน้าก็คือ ฤดูหนาวที่มืดมิดหนาวเหน็บด้วย (คือทั้งโควิดและเศรษฐกิจถดถอยหนัก) ซึ่งเขาขอให้ทุกคนมาร่วมกันเพื่อให้ชีวิตคนงานต้องปลอดภัยจากโรคร้ายและธุรกิจที่จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน...ซึ่งไม่เพียงต้องพยายามนำพาทุกคนกลับไปสู่ที่เดิม (Build Back) ก่อนวิกฤต แต่จะต้องช่วยกันผลักดันที่จะ “Build Back Better” กลับไปให้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เขาขอความเห็นและความร่วมมือที่จะต้องสร้างงานจากงบก้อนโตที่จะต้องคลอดออกมา พร้อมๆ กับการต้องควบคุมโรคร้ายให้ได้ก่อน
เป็นการปูทางสร้างความร่วมมือร่วมใจเพื่อฟันฝ่าจากการตกหลุมดำมืดอยู่ในขณะนี้