ผู้จัดการรายวัน360 - บอร์ด รฟม.เคาะเพิ่ม 2 ทางเลือก ระบบขนส่งภูเก็ต“ชง”ศักดิ์สยาม”ตัดสินใจ เผย “แทรมป์ล้อยาง” ค่าลงทุน 3.7 หมื่นล้าน เพิ่มจากเดิม 2 พันล้าน ส่วน BRT ไฟฟ้าถูกสุดเหลือ 3 หมื่นล้าน คาด รื้อการศึกษาPPP เลื่อนแผนเปิดเป็นปี 70
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. ที่มีนายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นประธาน วานนี้ (18 พ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นทางเลือกโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง ระยะทางรวม 41.7 กม. เพิ่มเติม 2 รูปแบบ คือ ระบบรถรางไฟฟ้าล้อยาง (รถแทรมป์) และ รถโดยสารด่วนพิเศษไฟฟ้า ( BRT) โดยจะนำรายงานต่อกระทรวงคมนาคมต่อไป ซึ่งเป็นการดำเนินการตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสังเกตในการเลือกระบบขนส่งมวลชนที่ลดต้นทุนในการดำเนินงาน ในช่วงที่ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดภูเก็ต เมื่อต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา
โดยผลการศึกษาระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ที่รฟม.สรุป เสนอไปยังกระทรวงคมนาคมไปก่อนหน้านี้ จะเป็นรถแทรมป์ล้อเหล็ก มีมูลค่าลงทุน 35,201 ล้านบาทรูปแบบ PPP Net Cost โดยรัฐลงทุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และเอกชนลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธา งานระบบ และขบวนรถไฟฟ้า และให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาเป็นระยะเวลา 30 ปี รวมทั้งเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสาร และรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร โดยรัฐจะสนับสนุนเอกชนในส่วนของค่าก่อสร้างงานโยธา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเปิดให้บริการในปี 2569
สำหรับทางเลือกเพิ่มเติม รถแทรมป์ล้อยางนั้น การศึกษาเบื้องต้นประเมินค่าลงทุนประมาณ 37,000 ล้านบาท สูงกว่า แทรมป์ล้อเหล็ก 15%เนื่องจากเป็นระบบที่มีการใช้ไม่แพร่หลายมากนัก ผู้ผลิตน้อยราย มีต้นทุนค่าจัดหาขบวนรถสูงกว่า นอกจากนี้ มีข้อเสียกรณีความร้อนในการขับเคลื่อน เกิดยางระเบิดได้ ไม่เหมาะกับสภาพอากาศประเทศไทยมากนัก หลายประเทศเกิดปัญหาต้องเปลี่ยนเป็นล้อเหล็กแทน เช่นไต้หวัน
ส่วน ทางเลือก รถ BRTระบบไฟฟ้า ประเมินค่าลงทุนที่30,000 ล้านบาท ต่ำกว่า แทรมป์ล้อเหล็กประมาณ 30% โดยมีข้อด้อยในเรื่องความจุต่อขบวนที่น้อยกว่า จึงต้องพ่วง 4 ตู้ต่อ1 ขบวนขณะที่แทรมป์จะ ใช้ 2 ตู้ต่อ1 ขบวน นอกจากนี้ยังต้องลงทุน ก่อสร้างสถานีประจุไฟฟ้า เพิ่มเติม
โดยทั้ง 3 ทางเลือก จะก่อสร้างไปตาม แนวเส้นทางเดิม ที่มีโครงสร้าง ทั้งที่เป็นทางยกระดับ ,อุโมงค์ทางลอด และทางระดับดิน ตามที่มีการออกแบบไว้ และมีช่องทางวิ่งเฉพาะ โดยมีค่าเวนคืนเท่าเดิม
ทั้งนี้ รฟม.จะรายงานการศึกษา2ทางเลือกเพิ่มเติมไปยังกระทรวงคมนาคม ซึ่งหากพิจารณาให้ปรับเป็นรถ BRT ไฟฟ้ารฟม.จะต้องทำการศึกษาปรับปรุงรายงาน PPP และ จัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ใหม่ โดยคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 6-8 เดือน จากนั้นจะเร่งนำเสนอบอร์ดรฟม. ต่อไป
โดยการปรับแผนครั้งนี้ ได้ประเมินว่า จะต้องปรับไทม์ไลน์ในการดำเนินโครงการออกไปอีก1 ปี โดยเสนอครม.ปี 2565 เปิดประมูล ปี 2566 เริ่มก่อสร้าง ปี 2567 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี และเปิดให้บริการในปี 2570
บอร์ด รฟม. รับทราบคืบหน้าร้องประมูล “สีส้ม”
นอกจากนี้ รฟม.ได้รายงานความคืบหน้า กรณีประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งวันที่ 17 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุด ได้ไต่สวน กรณีที่รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 ได้ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งศาลปกครองกลางที่ ให้ทุเลาการบังคับใช้หลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1
โดยรฟม.และกก.มาตรา36 ได้ชี้แจงต่อศาลว่า เป็นการดำเนินการถูกต้องครบถ้วนตามกฏหมายและระเบียบ โดยหลักเกณฑ์ใหม่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและภาครัฐ พร้อมกันนี้ ได้แจ้งถึงการเลื่อนกำหนดเปิดซองข้อเสนอ ออกไปก่อนจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่ง ซึ่งบอร์ดรับทราบและกำชับให้รฟม.ดำเนินการตามกฎหมายและระเบีบที่เกี่ยวข้อง
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. ที่มีนายสราวุธ ทรงศิวิไล เป็นประธาน วานนี้ (18 พ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นทางเลือกโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง ระยะทางรวม 41.7 กม. เพิ่มเติม 2 รูปแบบ คือ ระบบรถรางไฟฟ้าล้อยาง (รถแทรมป์) และ รถโดยสารด่วนพิเศษไฟฟ้า ( BRT) โดยจะนำรายงานต่อกระทรวงคมนาคมต่อไป ซึ่งเป็นการดำเนินการตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสังเกตในการเลือกระบบขนส่งมวลชนที่ลดต้นทุนในการดำเนินงาน ในช่วงที่ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ จังหวัดภูเก็ต เมื่อต้นเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา
โดยผลการศึกษาระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ที่รฟม.สรุป เสนอไปยังกระทรวงคมนาคมไปก่อนหน้านี้ จะเป็นรถแทรมป์ล้อเหล็ก มีมูลค่าลงทุน 35,201 ล้านบาทรูปแบบ PPP Net Cost โดยรัฐลงทุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และเอกชนลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธา งานระบบ และขบวนรถไฟฟ้า และให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาเป็นระยะเวลา 30 ปี รวมทั้งเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสาร และรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร โดยรัฐจะสนับสนุนเอกชนในส่วนของค่าก่อสร้างงานโยธา คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเปิดให้บริการในปี 2569
สำหรับทางเลือกเพิ่มเติม รถแทรมป์ล้อยางนั้น การศึกษาเบื้องต้นประเมินค่าลงทุนประมาณ 37,000 ล้านบาท สูงกว่า แทรมป์ล้อเหล็ก 15%เนื่องจากเป็นระบบที่มีการใช้ไม่แพร่หลายมากนัก ผู้ผลิตน้อยราย มีต้นทุนค่าจัดหาขบวนรถสูงกว่า นอกจากนี้ มีข้อเสียกรณีความร้อนในการขับเคลื่อน เกิดยางระเบิดได้ ไม่เหมาะกับสภาพอากาศประเทศไทยมากนัก หลายประเทศเกิดปัญหาต้องเปลี่ยนเป็นล้อเหล็กแทน เช่นไต้หวัน
ส่วน ทางเลือก รถ BRTระบบไฟฟ้า ประเมินค่าลงทุนที่30,000 ล้านบาท ต่ำกว่า แทรมป์ล้อเหล็กประมาณ 30% โดยมีข้อด้อยในเรื่องความจุต่อขบวนที่น้อยกว่า จึงต้องพ่วง 4 ตู้ต่อ1 ขบวนขณะที่แทรมป์จะ ใช้ 2 ตู้ต่อ1 ขบวน นอกจากนี้ยังต้องลงทุน ก่อสร้างสถานีประจุไฟฟ้า เพิ่มเติม
โดยทั้ง 3 ทางเลือก จะก่อสร้างไปตาม แนวเส้นทางเดิม ที่มีโครงสร้าง ทั้งที่เป็นทางยกระดับ ,อุโมงค์ทางลอด และทางระดับดิน ตามที่มีการออกแบบไว้ และมีช่องทางวิ่งเฉพาะ โดยมีค่าเวนคืนเท่าเดิม
ทั้งนี้ รฟม.จะรายงานการศึกษา2ทางเลือกเพิ่มเติมไปยังกระทรวงคมนาคม ซึ่งหากพิจารณาให้ปรับเป็นรถ BRT ไฟฟ้ารฟม.จะต้องทำการศึกษาปรับปรุงรายงาน PPP และ จัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) ใหม่ โดยคาดว่าจะใช้เวลาศึกษาประมาณ 6-8 เดือน จากนั้นจะเร่งนำเสนอบอร์ดรฟม. ต่อไป
โดยการปรับแผนครั้งนี้ ได้ประเมินว่า จะต้องปรับไทม์ไลน์ในการดำเนินโครงการออกไปอีก1 ปี โดยเสนอครม.ปี 2565 เปิดประมูล ปี 2566 เริ่มก่อสร้าง ปี 2567 ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี และเปิดให้บริการในปี 2570
บอร์ด รฟม. รับทราบคืบหน้าร้องประมูล “สีส้ม”
นอกจากนี้ รฟม.ได้รายงานความคืบหน้า กรณีประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งวันที่ 17 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุด ได้ไต่สวน กรณีที่รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 ได้ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งศาลปกครองกลางที่ ให้ทุเลาการบังคับใช้หลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1
โดยรฟม.และกก.มาตรา36 ได้ชี้แจงต่อศาลว่า เป็นการดำเนินการถูกต้องครบถ้วนตามกฏหมายและระเบียบ โดยหลักเกณฑ์ใหม่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและภาครัฐ พร้อมกันนี้ ได้แจ้งถึงการเลื่อนกำหนดเปิดซองข้อเสนอ ออกไปก่อนจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่ง ซึ่งบอร์ดรับทราบและกำชับให้รฟม.ดำเนินการตามกฎหมายและระเบีบที่เกี่ยวข้อง