xs
xsm
sm
md
lg

ลองหันมามองข้อดีของ “ทรัมป์บ้า”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
หวิดๆ ไปแล้ว!!!...สำหรับพวก “เสื้อเหลือง” กับพวก “ม็อบคณะลาบ-คณะราษฎร์” ของบ้านเรา หวิดลงมือ ลงตีน ไล่ทุบ ไล่กระทืบ แบบชนิดให้แหลกกันไปข้าง แต่ก็ยังต้องถือเป็น “โชคดี” ที่ “ความเป็นไทยๆ” ตามระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือจะด้วยความอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ยังพอช่วยให้เกิดการรอมชอม เกิด “ความประนีประนอม” หันมาโอบหลัง-โอบไหล่กันในวินาทีสุดท้าย หรืออย่างน้อย...ก็น่าจะเบากว่าประชาธิปไตยของแท้และดั้งเดิม ของคุณพ่ออเมริกาเขา ที่ทั้งไล่เสียบ ไล่แทง ไล่กระทืบ หรือกระทั่งไล่ฆ่า ไล่ยิง เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง กันไปมั่งแล้ว...

แต่ก็นั่นแหละ...สำหรับผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” มาถึงขั้นนี้...น่าจะแทบ “ยื้อ” ไม่ไหวต่อไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะย้ำแล้ว ย้ำอีก เรื่อง “โกงเลือกตั้ง” หรือ “ขโมยเลือกตั้ง” กันไปถึงขั้นไหน ไม่เหมือนการ “เลือกความสงบ...ต้องจบที่ลุงตู่” ของบ้านเรา ที่ทุกวันนี้ดูเหมือน...ท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ท่านยังน่าจะ “ลั้ลลา” ต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ก็เอาเถอะ เอาเป็นว่า...ก่อนที่ “ทรัมป์บ้า” จะหมดฤทธิ์ หมดเดช หมดสภาพ ลงไปในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ไหนๆ...ใครต่อใครก็ออกมาพูดถึงความไม่ดี-ไม่งาม ความสกปรกเลอะเทอะ ความเป็นเผด็จการ ความโกหก ความขี้คุย ขี้โม้ ความเอาแต่ใจตัวเอง ตลอดไปจนความบ้า ฯลฯ...ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ไปเยอะแล้ว ดังนั้น...ในฐานะ “เพื่อนผู้ร่วมวัฏฏสงสาร” คงต้องลองเปลี่ยนบรรยากาศ หันมาค้นหาความที่ไม่ถึงกับเลว หรืออาจพอดูดีอยู่มั่ง ของผู้นำอเมริกันรายนี้ ติดปลายนวม ไว้สักเล็กๆ น้อยๆ...

คือโดย “ความบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” นั้น...ไม่ว่าบ้าแบบไหน ลูกไหน แต่อย่างน้อย...คงไม่ถึงกับ “บ้าสงคราม” อันเป็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัว และน่าอันตรายเอามากๆ โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ได้ชื่อว่า “เครื่องจักรแห่งการสังหาร” อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่มักหยิบเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นทางออก ทางไป หรือทางรอด สำหรับประเทศตัวเองมาโดยตลอด ไม่ว่าตั้งแต่สงครามเพื่อเอกราช สงครามกลางเมือง (สงครามทาส) สงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามกับการก่อการร้ายที่ย่อยแยกแตกกระจาย กลายมาเป็นสงครามอัฟกานิสถาน สงครามอิรัก ซีเรีย ฯลฯ ชนิดโชกเลือด มื้อเปื้อนเลือด จนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่สำหรับผู้นำอเมริการายนี้ ดูเหมือนว่า...ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือช่วงปี ค.ศ. 2016 ก็เคยสัญญิง สัญญา เอาไว้เป็นมั่น เป็นเหมาะ ว่าจะต้องหาทาง “ถอนทหารสหรัฐฯ” ออกจากสมรภูมิต่างๆ ต้อง “แยงกี้ โกโฮม” หรือหนักไปทางคิด “โดดเดี่ยวตัวเอง” อยู่หลัง “กำแพงเม็กซิโก” คล้ายๆ ช่วง “ลัทธิมอนโร” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

หรือแม้ว่าจะหันมาเปิด “สงครามการค้า” กับคุณพี่จีนกับประเทศต่างๆ แบบอุตลุด ชุลมุน ชุลเก แต่ถ้าถึงขั้นต้องยิงกัน ฆ่ากัน แบบชนิดตายกันเป็นพันๆ หมื่นๆ เป็นแสนๆ อะไรทำนองนั้น ดูเหมือนว่า “ทรัมป์บ้า” ท่านไม่ถึงกับ “บ้า” มากมายสักเท่าไหร่นัก อย่างช่วงที่พวกเอ็นจีโอ “หมวกขาว” หรือพวก “White Helmets” ที่ถือเป็น “นักจัดฉาก” หรือ “นักสร้างสถานการณ์” ตัวเอ้ ได้พยายาม “จุดไฟสงคราม” เรื่องกองทัพรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมี สังหาร พร่าผลาญ พลเรือนผู้บริสุทธิ์ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ส่งผลให้ผู้นำอเมริกันรายนี้ แค่ส่งบ้องข้าวหลามยักษ์ประมาณ 7-8 ลูกจากเรือดำน้ำ ไปหล่นใส่ประเทศซีเรีย โดยไม่ถึงกับคิดโถมกำลังเข้าเผด็จศึกแบบที่พวก “สายเหยี่ยว” ในอเมริกา ออกแรงยุ แรงเชียร์กันชนิดสนั่นหวั่นไหว...

การตัดสินใจปลดที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งทำเนียบขาว อย่าง “นายจอห์น โบลตัน” ก็อาจถือเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้ผู้นำรายนี้กล้าออกมาคุยว่า ตัวเองเป็น “สายพิราบ” ไม่ใช่ “สายเหยี่ยว” หรือจำต้อง “ปลด” เพราะไม่งั้นอเมริกาอาจต้องหันไป “รบ” กับใครต่อใครแบบแทบจะทั่วทั้งโลกอะไรประมาณนั้น แม้จะถือเป็นผู้มีส่วนในการตัดสินใจ “ลอบสังหาร” นายพลอิหร่าน แบบดื้อๆ ทื่อๆ แต่ยังไม่ถือเป็นการทำสงครามแบบเปิดเผย ตรงไป-ตรงมา อีกทั้งล่าสุด...เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาเปิดเผยเองว่า ประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้สั่งการให้ “ตัด” หรือ “ลด” จำนวนทหารอเมริกันในสมรภูมิต่างๆ ไม่ว่าในอิรัก อัฟกานิสถาน ลงไปครึ่งหนึ่ง ภายในเดือนมกราคมปีหน้าที่จะถึง...

อัฟกานิสถานนั้น...เห็นว่าจะลดให้เหลือประมาณ 2,500 คน นับจากการเจรจาบรรลุข้อตกลงกับพวก “ตาลีบัน” ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนอิรัก...ก็คงไม่มากเกินไปกว่านี้ แถมรักษารัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ ที่ผู้นำรายนี้ได้แต่งตั้งขึ้นแทนที่ “นายMark Esper” คือ “นายChristopher Miller” อดีตผู้อำนวยศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย ก็ดูจะเป็นพวก “ต่อต้านสงคราม” อย่างที่คุณ “Ilya Tsukanov” แห่งสำนักข่าว “Sputnik” เธอว่าเอาไว้จริงๆ เพราะเพียงแค่ประมาณ 4 วัน หลังได้รับการแต่งตั้ง ก็ออกจดหมายเปิดผนึกถึงบรรดานายทหารอเมริกันทั้งหลาย ด้วยการเน้นย้ำให้เห็นว่า “ทุกสงครามของอเมริกันควรยุติได้แล้ว” หรือ “เราไม่ใช่ปวงชนแห่งสงครามชั่วนิจนิรันดร์ แต่ในทางกลับกัน...เราคือปวงชนผู้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสันติภาพตามแบบฉบับบรรพชนของเรา” อะไรทำนองนั้น ต่างไปจากอดีตรัฐมนตรีกลาโหมคนก่อน ที่เริ่มมีข่าวแพลมๆออกมาบ้างแล้ว ว่าแอบ “ซุก” ทหารอเมริกันเอาไว้ในซีเรีย โดยเฉพาะบริเวณบ่อน้ำมันด้านเหนือของประเทศ แม้ได้รับคำสั่งให้ถอนทหารอเมริกันทั้งมวลออกจากพื้นที่ซีเรียไปแล้วก็ตาม...

ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องจริงประเภทอิงนิยายแต่อย่างใด...เพราะผู้ที่นำเอาข้อมูล ข้อเท็จจริง เหล่านี้มาเปิดเผยแบบเป็นเรื่อง เป็นราว ก็คือ “นายJim Jeffrey” อดีตทูตอเมริกันประจำอิรัก ยุครัฐบาล “โอมาบ้า” และอดีตผู้แทนพิเศษอเมริกันในการติดต่อกับพวกผู้ก่อการร้ายไอเอส หรือไอซิสนั่นเอง ที่ได้ “ทิ้งทวน” เอาไว้ก่อนเกษียณ ว่าการแอบซุก แอบซ่อน ทหารอเมริกันเอาไว้ในซีเรียเป็นสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาในกระทรวงกลาโหมรับรู้ รับทราบ มาโดยตลอด และอาจถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งก็เป็นได้ ที่ทำให้ความไม่ลงรอย ความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมคนเก่ากับประธานาธิบดี ไม่ได้มีแต่เฉพาะเรื่องความพยายามขัดคำสั่ง ไม่ส่งกำลังทหารไปปราบผู้ก่อจลาจลภายในประเทศเท่านั้น หรือในขณะที่ผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ไม่อยากจะส่งทหารอเมริกันไปไว้ ณ ที่ไหนต่อที่ไหนต่อไปอีกแล้ว แต่รัฐมนตรีกลาโหมอย่าง “นายMark Esper” หรือกระทั่ง “นายJim Jeffrey” ฯลฯ ต่างเห็นว่า เป็นแนวคิดที่ “เสี่ยง” หรือ “อันตราย” ต่ออำนาจทางทหารของอเมริกาไปซะแทนที่...

และว่าไปแล้ว...แนวคิดของ “นายMark Esper” และ “นายJim Jeffrey” ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากแนวคิดทางทหารของอเมริกาในยุครัฐบาล “โอมาบ้า” นั่นแล หรือช่วงที่รัฐบาลเห็นชอบกับแผนปฏิบัติการที่เรียกว่า “Operation Timber Sycamore” ของ “CIA” ในอันที่จะจัดหาอาวุธและการฝึกให้กับบรรดาพวก “อิสลามหัวรุนแรง” ในซีเรีย เพื่อให้ลุกขึ้นมาทำ “สงครามกลางเมือง” กับรัฐบาล “อัล-อัสซาด” หรือช่วงที่ “ผู้เฒ่าโจ” หรือว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกา มีตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีนั่นเอง อันถือเป็นแนวคิดที่หนักไปทาง “บ้าสงคราม” พร้อมลงมือจุดชนวนสงครามขึ้นมาในตะวันออกกลาง นับแต่นั้นเป็นต้นมา...

การที่ “ทรัมป์บ้า” ผู้บ้าโน่น บ้านี่ ไปตามเรื่อง ตามราว...ต้องหมดฤทธิ์ หมดเดช หมดสภาพลงไปอีกไม่นาน-ไม่ช้า โดย “ผู้เฒ่าโจ” ที่จะ “โจซึมเซา” หรือ “โจวิตถาร” ก็แล้วแต่ ผงาดขึ้นมาดำรงตำแหน่งกันแทนที่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะถึงกับ “โชคดี” อะไรมากมายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะ...ถ้า “ผู้เฒ่าโจ” ท่านคิดจะแต่งตั้งสตรี ผู้มีนามกรว่า “Michele Flournoy” ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมหญิงคนแรก ดังที่เป็นข่าวคราวขึ้นมาจริงๆ เพราะเท่าที่ฟังจากน้ำเสียงที่เธอเคยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “Jerusalem Post” ไว้ช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่ว่าการด่าว่า การประณาม การแสดงความไม่เห็นด้วยกับ “ทรัมป์บ้า” ที่คิดถอนทหารอเมริกันออกจากซีเรีย ไปจนถึงการ “ป้องกันความขัดแย้งกับจีน” ด้วยการแสดงออกถึงแสนยานุภาพของกองทัพอเมริกันให้เป็นที่ประจักษ์ หรือเพื่อให้เห็นว่า... “กำลังทหารสหรัฐฯ มีขีดความสามารถพอที่จะจมเรือรบจีนไม่ต่ำกว่า 300 ลำ เรือดำน้ำและเรือสินค้าต่างๆ ในทะเลจีนใต้ ภายในชั่วเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง” อันนี้นี่แหละ...ถือเป็นลักษณะอาการแบบ “บ้าสงคราม” หนักซะยิ่งกว่า “ทรัมป์บ้า” ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น