ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งแบบหมดรูป ไร้หนทางต่อสู้ทางกฎหมาย ยังดึงดันร้องเรียนให้หน่วยนับคะแนนในหลายรัฐนับใหม่
ทุกรัฐต่างยอมรับว่าเป็นการนับคะแนนที่ปราศจากความผิดปกติหรือมีหลักฐานการโกงเลือกตั้งตามข้อกล่าวหาของผู้นำทำเนียบขาว และพรรคพวกซึ่งยังมีความหวังรางเลือนว่าโอกาสจะพลิกกลับมาชนะยังมีอยู่ ดังนั้น จึงดันทุรังต่อไป ใครรั้งก็ไม่อยู่
ทรัมป์ ยังคงปากแข็งปฏิเสธความเป็นจริงตามหลักฐานที่ปรากฏ ฝังตัวเองอยู่ในโลกของความสุดสวยและความดึงดันว่าตัวเองไม่แพ้ แพ้ไม่เป็น และที่แพ้นั่นเป็นเพราะโดนโกง ไม่ฟังคำยืนยันจากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งคนที่ตัวเองแต่งตั้ง
คำร้องหลายคดีที่ทนายของทรัมป์ได้ยื่นต่อศาลเรื่องการโกงถูกศาลปฏิเสธทุกรายเพราะไม่มีหลักฐานหนุนข้อกล่าวหา แต่กระนั้นทรัมป์และพวกยังเถียงหัวชนฝาว่ามีขบวนการสมรู้ร่วมคิดโกงการเลือกตั้ง ทำอย่างเป็นระบบ มีเครือข่ายกว้างขวาง
ล่าสุดนอกจากได้แต่งตั้งนายรูดี้ จิวลิอานี อดีตนายกเมืองนิวยอร์ก นักเชลียร์ทรัมป์ให้รับบทหัวหน้าทีมกฎหมายเพื่อเดินหน้าฟ้องคดี แม้จะไม่ได้ผลแต่ก็เป็นการถ่วงเวลาไม่ให้ผู้ชนะอย่างโจ ไบเดน ได้เข้ารับงานผู้นำประเทศต่ออย่างสะดวก
ทรัมป์ ถูกมองว่าเป็นมนุษย์อันตรายอย่างแท้จริง มีความเลือดเย็น ไม่ยอมรับกฎกติการู้แพ้รู้ชนะอย่างที่นักการเมืองหรืออารยชนทั่วไปยอมรับเมื่อพ่ายแพ้ในการแข่งขันแต่กลับหาเรื่องเล่นงานผู้อื่นเพราะความแค้น อาฆาต จิตริษยา ผิดวิสัยผู้นำมีคุณธรรม
แทบไม่น่าเชื่อว่าพฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็นของผู้นำชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
นอกจากได้ไล่เจ้าหน้าที่ออกหลายรายแล้ว ล่าสุด ทรัมป์ ได้ไล่ออกนายคริส เครบส์ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยความมั่นคงด้านไซเบอร์ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิออกจากตำแหน่งเพราะพูดจาไม่เข้าหู ทำตัวขัดแย้งกับทรัมป์โดยตลอด
เครบส์ยังบอกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมามีความปลอดภัยไร้การโกงหรือฉ้อฉล และไม่มีหลักฐานอะไรชี้ว่าเป็นเช่นนั้น เป็นความสะอาดอย่างไร้ข้อตำหนิ อะไรทำนองนั้น
หลังจากโดนไล่ออก นายเครบส์กลับโต้ผ่านข้อความในทวิตเตอร์ว่ามีความภูมิใจเป็นเกียรติที่ได้ทำหน้าที่ พิสูจน์ว่าการเลือกตั้งไม่มีการทุจริต และยังมีเจ้าหน้าที่อีกรายหนึ่งตัดสินใจลาออกเพราะทนไม่ได้กับผู้นำประเทศอย่างทรัมป์
แน่นอน นี่ไม่ใช่รายสุดท้ายที่ทรัมป์จะเล่นงาน ผู้นำองค์กรคนดังอื่นๆ อย่างคุณหมอแอนโทนี เฟาซี่ ก็อยู่ในข่ายโดนเล่นงาน แต่ยังมีคำถามว่าทรัมป์มีอำนาจจะทำหรือไม่ และทรัมป์คาดว่าจะประกาศนิรโทษกรรมให้สมุนบริวาร ครอบครัว และตัวเอง
ทรัมป์ยังพร้อมจะทำอะไรอีกหลายอย่างที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง!
สิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้กระทำกับประเทศ และคนอเมริกันคือความไม่ใส่ใจในการควบคุมดูแลการระบาดของเชื้อโรคโคโรนาไวรัส ซึ่งยังทำให้คนอเมริกันติดเชื้อมากกว่า 100,000 รายต่อวันและเสียชีวิตประมาณ 1 พันคน โดยไม่สามารถหยุดยั้งได้
ความไม่ใส่ใจของทรัมป์ รวมถึงการไม่ทำให้คนอเมริกันเข้าถึงวัคซีนที่ผู้ผลิตสองราย ไฟเซอร์ และโมเดิร์นนา ได้ประกาศแล้วว่าได้ผล จะเริ่มใช้กลางเดือนหน้านี้
อาจจะเป็นความแค้นว่าการประกาศเรื่องวัคซีนเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวเองพ่ายแพ้การเลือกตั้ง เพราะถ้าประกาศก่อนหน้านั้นคะแนนอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ ดังนั้นคนอเมริกันหลายแสนคนหรือเป็นล้านคนต้องเสี่ยงป่วยและตายจนกระทั่งโจ ไบเดนเข้ารับตำแหน่ง
ความพยายามขัดขวางการเข้าถึงงบประมาณ และการเข้าฟังการสรุปข่าวกรองจากหน่วยงานความมั่นคงก็เป็นการกลั่นแกล้ง ทำให้โจ ไบเดนและทีมงานไม่สามารถคืบหน้ากับการเตรียมงานเพื่อรับตำแหน่งวันที่ 20 มกราคมปีหน้า
กว่าจะถึงวันนั้นสถานการณ์ในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดของโคโรนาไวรัสอาจจะร้ายแรงมากกว่า คนติดเชื้อและตายมากเพราะเป็นช่วงฤดูหนาวจัด
มีเสียงท้วงติงและแนะนำจากสมาชิกครอบครัวรวมทั้งนักการเมืองซึ่งมองว่าโจ ไบเดนเป็นผู้ชนะ แต่ทรัมป์ผู้แพ้ซึ่งทำใจไม่ได้ จิตตกกลับหมกมุ่นอยู่กับการดูทีวี การเล่น Twitter และเล่นกอล์ฟเท่านั้นไม่สนใจงานบริหารภายในประเทศ
ขณะเดียวกันทรัมป์ใส่ใจงานด้านต่างประเทศ เช่นการถอนทหารอเมริกันจากอิรักและอัฟกานิสถาน ที่น่าตกใจก็คือทรัมป์ได้ปรึกษากับผู้ใกล้ชิดว่าสมควรส่งเครื่องบินบี 52 ไปทิ้งระเบิดหน่วยงานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านหรือไม่ แต่ก็ได้รับการท้วงติง
ความฝังใจ ผูกใจเจ็บแค้นของทรัมป์ทำให้นักสังเกตการณ์มองว่าแต่ละวันจากนี้ไป ทรัมป์ก็คงจะออกฤทธิ์ออกเดชในการโชว์อำนาจและศักยภาพในการสร้างความเสียหายให้กับประเทศและตีรวนกับทีมผู้ชนะไม่หยุด ใครจะว่าหรือมองอย่างไรก็ช่าง
โจ ไบเดน และทีมงานยังคงเดินหน้าพยายามเข้าถึงข้อมูลและเตรียมทีม รวมทั้งเรื่องความอดทนให้ทรัมป์ได้เห็นว่าการทำตัวเยี่ยงนั้นได้ส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างไร
นอกจากการถ่ายโอนอำนาจยังไม่เกิดขึ้น ยังมีการปลุกกระแสแนวคิดอนุรักษนิยมเพราะทรัมป์อ้างว่าได้รับฉันทมติจากประชาชนอเมริกันกว่า 72 ล้านคนแม้จะน้อยกว่าของโจ ไบเดน 5 ล้านคน แต่ก็ใกล้เคียงทำให้กระแสขวาจัดในสหรัฐฯ แข็งแกร่งเหมือนเดิม
โจ ไบเดน คงทำได้เพียงแค่ติดต่อสื่อสารกับผู้นำประเทศอื่นๆ ประกาศว่าอเมริกาได้กลับมาเหมือนเดิม และได้รับความสนใจความกระตือรือร้นจากผู้นำชาติเหล่านั้นที่พร้อมจะทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ในเรื่องต่างๆ
นั่นคือความต่างจากยุคปัจจุบันที่ผู้นำอย่างทรัมป์นิยมสไตล์การทำงานแบบข้ามาคนเดียว และทำให้พังทั้งประเทศ คนติดเชื้อมากอันดับ 1 แบบอเมริกาต้องมาก่อน