รอยเตอร์ - อเมริกาแซงหน้าอิตาลีขึ้นเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก ด้วยตัวเลขกว่า 20,000 คน ขณะที่ทรัมป์ยังพร่ำเพ้อพูดเรื่องการเริ่มต้นกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังพุ่งไม่หยุด แค่เฉพาะที่ยืนยันอย่างเป็นทางการในอเมริกาก็ทะลุ 5 แสนคนแล้ว
ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ (11 เม.ย.) ยังพบว่า อเมริกามีผู้เสียชีวิตรายวันเฉียด 2,000 คนต่อเนื่อง 4 วันติดกัน โดยพบผู้เสียชีวิตมากที่สุดในและรอบๆ นิวยอร์ก ซิตี ทั้งนี้ ไม่รวมผู้เสียชีวิตในบ้าน ซึ่งไม่ได้ลงบันทึกอย่างเป็นทางกา รว่า เสียชีวิตจากโควิด และทางการกำลังหาวิธีรวบรวมข้อมูลนี้อยู่
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เตือนว่า ยอดผู้เสียชีวิตในอเมริกาอาจสูงถึง 200,000 คน ในช่วงฤดูร้อน หากรัฐบาลไม่ต่อเวลาคำสั่งให้ประชาชนงดออกจากบ้าน และธุรกิจหยุดดำเนินการที่จะสิ้นสุดปลายเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม มาตรการส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงการปิดโรงเรียน และคำสั่งฉุกเฉินห้ามพนักงานที่ไม่จำเป็นส่วนใหญ่ออกนอกบ้านอยู่ในอำนาจของผู้ว่าการรัฐ ไม่ใช่ประธานาธิบดี
ถึงกระนั้น ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ต้องการให้อเมริกากลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ทั้งยังระบุว่า มาตรการจำกัดการระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจและสาธารณสุข
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ฟ็อก นิวส์ ทางโทรศัพท์เมื่อค่ำวันเสาร์ ว่า จะตัดสินใจโดยเร็วที่สุดโดยอิงกับคำแนะนำของคณะบุคคลที่ฉลาดมาก เป็นมืออาชีพ แพทย์ และผู้นำทางเศรษฐกิจ แต่สำทับว่า สัญชาตญาณมีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกัน ก่อนปิดท้ายว่า คนอยากกลับไปทำงานกันแล้ว และรัฐบาลต้องทำให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติ
ในวันเดียวกัน ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ฟ็อกซ์ นิวส์ ว่า กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ยึดมั่นกับจุดยืนเดียว ว่า การลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้เหลือน้อยที่สุด คือ การหยุดกิจกรรมเศรษฐกิจและสังคมจนกว่าไวรัสจะหายไปถือว่าถูกแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากวิธีการดังกล่าวอาจช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโดยตรง แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิธีการนั้น สามารถฆ่าคนจำนวนมากได้เช่นกันจากความเครียด การฆ่าตัวตาย และการใช้ยาเสพติด ดังนั้น การตัดสินใจอย่างยากลำบากของทรัมป์ คือ ต้องชั่งน้ำหนักและพิจารณาว่า วิธีใดเสียหายกว่ากัน
ที่นิวยอร์กซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดใหม่ของโลก ผู้ว่าการรัฐ และนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ซิตี เปิดสงครามปากรอบใหม่เกี่ยวกับความพยายามในการต่อสู้กับไวรัส รัฐนิวยอร์กค่อนข้างล่าช้าในการออกคำสั่งเว้นระยะห่างทางสังคมเมื่อเทียบกับรัฐอื่น โดยเฉพาะแคลิฟอร์เนีย ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐทั้งสองคน ซึ่งสังกัดพรรคเดโมแครตทั้งคู่ บางครั้งมีความเห็นไม่ลงรอยเกี่ยวกับเขตอำนาจและนิยามสำหรับมาตรการบางอย่าง และทั้งคู่ไม่เคยปรากฏตัวร่วมกันในที่สาธารณะนับตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม
ช่วงเช้าวันเสาร์ บิลล์ เดอ บลาสิโอ นายกเทศมนตรี ประกาศว่า โรงเรียนรัฐบาลในนิวยอร์ก ซิตี จะยังไม่เปิดในวันที่ 20 นี้ แต่จะปิดตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่ของปีการศึกษา โดยยืนยันว่า เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ทางด้าน แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก กล่าวระหว่างแถลงข่าวประจำวัน ว่า คำสั่งของ เดอ บลาสิโอ เป็นแค่ “ความคิดเห็น” และตนจะเป็นคนตัดสินใจเรื่องดังกล่าวเอง
ทั้งนี้ แนวทางของรัฐบาลกลางในปัจจุบัน แนะนำให้ใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมจนถึงวันที่ 30 เมษายน จากนั้น ทรัมป์ที่จะลงศึกเลือกตั้งสมัยสองในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง จะตัดสินใจว่า ต้องขยายมาตรการดังกล่าวออกไปหรือเริ่มส่งเสริมให้ประชาชนกลับไปทำงานและใช้ชีวิตปกติมากขึ้น
ทรัมป์บอกว่า อาจเปิดตัวสภาที่ปรึกษาใหม่ในวันอังคาร (14 เม.ย.) ซึ่งจะรวมถึงผู้ว่าการจากบางรัฐ และจะมุ่งเน้นกระบวนการเพื่อเดินเครื่องเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากจำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พุ่งทะลุ 16 ล้านคน ขณะที่ข้อมูลรอบสัปดาห์ระบุว่า มีผู้ขอรับสวัสดิการใหม่ 6 ล้านคน เป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
รัฐบาลสหรัฐฯ เผยว่า เดือนมีนาคมมีการปลดพนักงาน 701,000 คน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับจากช่วงเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในทศวรรษ 1930 และเป็นการสิ้นสุดยุคทองของการจ้างงานที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ นับจากปลายปี 2010
อย่างไรก็ตาม ยังพอมีข่าวดีอยู่บ้างท่ามกลางวิกฤตไวรัส โดย ดร.แอนโธนี ฟอว์ซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อชั้นนำของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพอื่นๆ ชี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และในแผนกผู้ป่วยวิกฤตกำลังลดลง โดยเฉพาะในรัฐนิวยอร์ก บ่งชี้ว่า มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมได้ผลดี
คำสั่งให้ประชาชนงดออกจากบ้านในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ใน 42 รัฐ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจ และทำให้เกิดคำถามว่า จะปิดธุรกิจและห้ามการเดินทางอีกนานเท่าใด
คณะบริหารเริ่มพูดถึงการเดินเครื่องเศรษฐกิจอีกครั้งหลังจากโมเดลการวิจัยของมหาวิทยาลัยทรงอิทธิพล ระบุว่า อเมริกาอาจมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพียง 60,000 คน จนถึงวันที่ 4 สิงหาคม ลดลงจากตัวเลขอย่างน้อย 100,000 คน หากยังคงใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
ข้อมูลใหม่ของรัฐบาลพบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงฤดูร้อนจะพุ่งขึ้น หากยกเลิกคำสั่งงดออกจากบ้านหลังครบ 30 วัน ซึ่งนิวยอร์กไทมส์เป็นสื่อแห่งแรกที่รายงานเรื่องนี้ และต่อมาได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ