เอเจนซีส์ - ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อชั้นนำของสหรัฐฯ ยอมรับ ถ้าอเมริกาออกมาตรการต่อต้านไวรัสโควิด-19 เร็วกว่านี้ อาจทำให้คนตายน้อยลง พร้อมแสดงความเห็นว่าอาจจะสามารถผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างค่อยเป็นค่อยไปในบางพื้นที่ตั้งแต่เดือนหน้าโดยมีข้อแม้ว่าพื้นที่เหล่านั้นต้องสามารถตรวจทดสอบและกักกันผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง
นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (12) เกี่ยวกับรายงานในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ โดยเขายอมรับว่า ถ้าอเมริกาปิดสถานที่สาธารณะตั้งแต่โควิด-19 เริ่มระบาดจริงจังช่วงต้นปี สถานการณ์อาจแตกต่างจากนี้ ก่อนสำทับว่ามีการคัดค้านการชัตดาวน์อย่างมากในเวลานั้น แต่เขาก็ไม่ได้พาดพิงถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่อย่างใด
ล่าสุด ในสหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 555,000 คน และเสียชีวิต 22,000 คน กลายเป็นประเทศที่ติดอันดับ 1 ของโลกทั้ง 2 รายการ
ทั้งนี้ บทความของนิวยอร์กไทมส์ฉบับวันอาทิตย์ระบุว่า นพ.เฟาซี และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับท็อปคนอื่นๆ แนะนำให้รัฐบาลใช้มาตรการเชิงรุกตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และยังบอกว่าสาเหตุที่ทรัมป์รับมือโควิด-19 ช้าเกินไปส่วนหนึ่งเพราะมั่นใจในสัญชาตญาณของตัวเอง แต่ไม่ไว้ใจข้าราชการพลเรือนที่เขาตราหน้าว่าเป็น “รัฐบาลเงา” ที่สมคบคิดกันพยายามรวบอำนาจ
เกี่ยวกับประเด็นนี้ เฟาซีอธิบายเพิ่มเติมต่อซีเอ็นเอ็นว่า เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขให้คำแนะนำได้จากจุดยืนด้านสุขภาพเท่านั้น ซึ่งบ่อยครั้งคำแนะนำได้รับการนำไปปฏิบัติ แต่บางครั้งก็ไม่
เฟาซี ที่เคยให้คำปรึกษาประธานาธิบดีสหรัฐฯ 6 คนหลังสุด ยังยอมรับว่ามีหลายปัจจัยเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในสหรัฐฯ เช่น ขนาดประเทศ ไม่ใช่แค่เรื่องความล่าช้าในการเริ่มมาตรการรับมือเท่านั้น
ตอนเย็นวันอาทิตย์ ทรัมป์ทวีตตอบโต้บทความของนิวยอร์กไทมส์ด้วยวลีโปรดคือ “ข่าวปลอม!” และสำทับว่า ตอนที่ตนสั่งแบนการเดินทางจากจีนข้าสหรัฐฯ เพื่อรับมือการระบาด ก็ถูกวิจารณ์ว่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไป
ทรัมป์ยังโพสต์คำสัมภาษณ์ของเฟาซีที่บอกว่าอเมริกาไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องตั้งแต่แรก
ก่อนหน้านั้น ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ประมุขสหรัฐฯ ยังได้โจมตีองค์การอนามัยโลก (ฮู) ว่า ไว้ใจจีนเกินไปตอนที่ไวรัสโคโรนาอุบัติขึ้นครั้งแรกในเมืองอูฮั่นเมื่อปลายปีที่แล้ว
นอกจากนั้น ทรัมป์ยังพยายามผลักดันให้ยกเลิกมาตรการชัตดาวน์เพื่อเดินเครื่องเศรษฐกิจอีกครั้งโดยเร็วที่สุด เนื่องจากหวังผลว่า เศรษฐกิจอเมริกาจะฟื้นตัวเข้มแข็งเพื่อใช้เป็นประเด็นหาเสียงในการเลือกตั้งซึ่งจะมีขึ้นเดือนพฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ คณะบริหารของทรัมป์กว่าจะออกแนวทางให้เว้นระยะห่างทางสังคม เวลาก็ล่วงเลยมาถึงวันที่ 16 มีนาคมและมีการขยายระยะเวลาบังคับใช้จนถึงสิ้นเดือนนี้
สำหรับประเด็นนี้ เฟาซีระบุว่า การผ่อนคลายมาตรการรับมือการระบาดจำเป็นต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป กล่าวคือหากสามารถระบุและกักกันผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วและทั่วถึง และเมื่อจำนวนผู้ป่วยหนักลดลงอย่างชัดเจน เจ้าหน้าที่จึงสมควรพิจารณาเรื่องการกลับสู่สภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ โดยในบางพื้นที่นั้นอาจกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติอย่างเร็วที่สุดตั้งแต่เดือนหน้า
ทางด้าน สตีเฟน ฮาห์น กรรมาธิการสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ให้สัมภาษณ์เครือข่ายโทรทัศน์เอบีซีในวันเดียวกันว่า อยากเห็นการผ่อนคลายมาตรการชัตดาวน์ในวันที่ 1 พฤษภาคมเช่นกัน แต่คิดว่า ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า เป้าหมายดังกล่าวจะเป็นไปได้หรือไม่
ทั้งนี้ การตัดสินใจมาตรการล็อกดาวน์ของอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นอำนาจของรัฐบาลท้องถิ่น ไม่ใช่ของประธานาธิบดี โดยผู้ว่าการหลายรัฐที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 เช่น นิวยอร์ก แสดงจุดยืนว่าต้องการบังคับใช้มาตรการนี้ต่อไปตราบที่ยังจำเป็น และจะผ่อนคลายเมื่อมั่นใจว่า ปลอดภัยแล้วเท่านั้น ขณะที่ผู้ว่าการรัฐแมริแลนด์และนิวเจอร์ซีย์ระบุว่า จะยังไม่ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จนกว่าจะมีชุดทดสอบให้ใช้กันอย่างแพร่หลายเสียก่อน