ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – ถือว่าเข้าเป้าที่วางไว้
กิจกรรม “ราษฎรสาส์น” ของกลุ่มผู้ชุมนุม “กลุ่มราษฎร” ที่เคลื่อนมวลชนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หมายไปยังสำนักพระราชวัง ที่ตั้งอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 8 พ.ย.63 ที่ผ่านมา
แม้จะไปไม่ถึงจุดหมาย ได้เพียงแค่ตั้ง “ตู้ไปรษณีย์จำลอง” ที่บริเวณหน้าศาลหลักเมือง พร้อมอ่านแถลงการณ์ และให้ผู้ชุมนุมนำจดหมายที่ตัวเองเขียนขึ้นมาหย่อนในตู้ไปรษณีย์ ตาม “กิมมิก” ก่อนยุติการชุมนุมเท่านั้น
แต่ที่เข้าเป้าตามเกมที่ “แกนนำ” วางไว้ ก็คือ ภาพ “ฉีดน้ำ” ที่ว่ากันว่า “มือลั่น” ออกจากรถควบคุมฝูงชนของตำรวจ อันเป็นภาพที่ “แกนนำ” หวังใช้ “ขยายผล” ต่อถึงความไม่ชอบธรรมในการสลายการชุมนุม
ทั้งที่ “แกนนำ” เองก็รู้ทั้งรู้ว่า การเคลื่อนม็อบไปประชิด “เขตพระราชฐาน” เช่นนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะผิดกฎหมายเต็มประตู ด้วยแม้รัฐบาลจะ “ถอยหนึ่งก้าว” ในการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่ กทม. เปิดทางให้มีการชุมนุมได้แล้วก็ตาม
แต่ “เขตพระราชฐาน” ก็ยังถือเป็น “พื้นที่ต้องห้าม” สำหรับการชุมนุมอยู่ดี
ตามมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติการชุมนุมในที่สาธารณะ ที่ระบุว่า “การจัดการชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตรจากพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง วังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป พระราชนิเวศน์ พระตําหนัก หรือจากที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป หรือผู้สําเร็จ ราชการแทนพระองค์ ประทับหรือพำนัก หรือสถานที่พํานักของพระราชอาคันตุกะจะกระทํามิได้”
ทว่า “ม็อบราษฎร” ก็พยายาม “ล้ำเส้น” ทั้งการไม่ขออนุญาตชุมนุมตามกฎหมาย หรือความพยายามเข้าประชิด “พระบรมมหาราชวัง” เพื่อกดดันให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมฝูงชน ซึ่งก็ “ประสบความสำเร็จ” เมื่อมีการฉีดน้ำระยะสั้นๆออกมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับเหตุการณ์ที่สยามสแควร์ และแยกปทุมวันเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ก็ตาม
ถือว่า “เข้าตีน” ให้ “ฝ่ายม็อบ” ที่พยายาม “หาเหตุ” ร้องแรกแหกกระเฌอว่า เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ อยู่แล้ว
ด้วย “แกนนำคณะลาบ” ตกผลึกร่วมกันแล้วว่า อีเวนท์ประเภทแฟลชม็อบมาประเดี๋ยวประด๋าว ที่เคยวูบวาบในช่วงแรกๆ เริ่ม “เฝือ” ไม่ได้รับความสนใจเฉกเช่นในช่วงแรก
“ม็อบวันเดย์ทริป” แผ่ว
ต้องยอมรับว่า “แฟลชม็อบ” ที่เคยฮือฮา เมื่อช่วงเดือน ต.ค. ก็ได้รับอานิสงส์จาก “น้ำสีฟ้า” เมื่อวันที่ 16 ต.ค.อีกด้วย จากนั้นทางรัฐบาลก็ “ลดการ์ด” ลง ขณะที่ม็อบก็พยายามป้วนเปี้ยนจัดกิจกรรม “ล่อเท้า” ไปเรื่อย ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ยักทำอะไรรุนแรงอีก
กระแสม็อบเริ่มสร่างซาตามธรรมชาติของการชุมนุม
มีข้อมูลจาก สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเมินว่า ตั้งแต่ 24 ต.ค.63 เป็นต้นมา การชุมนุมของ “กลุ่มราษฎร” อยู่ในโหมด “ขาลง” ผู้ชุมนุมแต่ละครั้งเฉลี่ยอยู่ราวๆ 10,000 – 15,000 คน เฉลี่ยอยู่ที่ 12,000 คน
ส่วนการชุมนุมทั่วประเทศมีไม่เกิน 50,000 คน ฟันธงว่า หลังจากนี้แนวโน้มผู้ชุมนุมจะลดลงเรื่อยๆ
เป็นเหตุให้ “แกนนำคณะลาบ” ต้อง “แก้เกม” งัดลูกไม้เก่ากลับมา “ดันเพดาน” ด้วยกิจกรรม “ราษฎรสาส์น” หมายมุ่งหน้าไปยังพระบรมมหาราชวังอีกคำรบ หวังจากที่เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ก็เคยพยายามส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือที่ สำนักงานองคมนตรี ที่ตั้งอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกันมาแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ
ครั้งนี้ก็รู้ดีว่า ไปไม่ถึงฝั่งฝันแน่นอน แต่ก็ไม่เลือกที่จะส่งตัวแทน ให้ถูกปฏิเสธซ้ำรอย ใช้วิธีปลุกระดมผู้มวลชนเข้ากดดันให้ใกล้เขตพระราชฐานมากที่สุด แล้วก็ถือว่า “เข้าเป้า” อย่างที่บอก เมื่อตำรวจ “มือลั่น” ฉีดน้ำออกมาจริงๆ
ทว่าในแง่ “ปริมาณ” ต้องถือว่า “สอบตก” ด้วยบรรยากาศการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. เทียบกับการชุมนุมใหญ่หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ต้องบอกว่า ประชากรม็อบ ลดน้อยถอยลง ไม่เนืองแน่นเหมือนครั้งก่อน
ปกติอีเวนต์ใหญ่แบบนี้ หากมีมวลชนมหาศาล ต้องมี “ภาพมุมสูง” แชร์ให้เห็นพลานุภาพม็อบกันดาษดื่น เพื่อประกาศบอกชาวโลกรู้ แต่หนนี้เลือก “ถ่ายเจาะ” บริเวณหน้าแนวตำรวจ ให้เห็นความชุลมุน และมาตรการของเจ้าหน้าที่้เท่านั้น
ตามคิวที่ “ม็อบราษฎร” ก็ออกอาการล้า ด้วยกรำศึกมาหลายเดือน แต่ยังเผด็จศึก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เสียที
ขนาดยกระดับ ขยับไปพระบรมมหาราชวัง ที่ใครๆ ก็รู้ว่า จงใจจะหาเรื่องให้เกิดความรุนแรง เพื่อหาจุดเปลี่ยน แต่ที่สุดก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น วางตู้ไปรษณีย์เสร็จ แยกย้ายกลับบ้าน
มีฉากเกือบจะรุนแรง แต่ก็ไม่มีอะไร ในจังหวะที่บรรดาแกนนำสายฮาร์ดคอร์พยายามรื้อลวดหนามเพื่อฝ่าเข้าไป จนเจ้าหน้าที่ต้องฉีดน้ำดับไฟอารมณ์
เจ้าหน้าที่เองก็รู้ว่า มีคนตั้งใจให้มีเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องขยับรื้อลวดหนาม ปาระเบิดควัน เลยไม่ขอทะเลาะด้วย รีบออกมาประกาศขอโทษพอโพยม็อบที่มือลั่น เล่นสงกรานต์กันข้างสนามหลวง
ไม่ปล่อยให้บานปลาย เพราะเจ้าหน้าที่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง ชอตนี้จะเข้าทาง “ม็อบที่ไม่มีอะไร” ให้มีอะไรขึ้นมาทันที
อาจจะพอสรุปได้แล้วว่า ลูกเล่น “วันเดย์ทริป” มาแล้วก็กลับ วูบวาบเหมือนพลุตะไล ดังแล้วหายเงียบ กดดันอะไรรัฐบาลไม่ได้ แถม “ตบมือข้างเดียวก็ไม่ดัง” เมื่อเจ้าหน้าที่เอาไม้นวมเข้าลูบตลอด
ในทีที่ประเมินกันแล้วว่า แกนนำผู้ชุมนุมก็เริ่มจะบ้อท่า หมดมุก การมาส่งสาส์นจนเกือบถึงกำแพงพระบรมมหาราชวัง น่าจะเป็นมุกสูงสุดที่จะหาได้ในตอนนี้แล้ว ไม่น่าจะมีอะไรไปแตะ “จุดพีค” ได้อีก
และยังน่าสังเกตเหลือเดินว่า “อีเวนต์ใหญ่” ขนาดนี้ แต่แกนนำคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น อานนท์ นำภา - “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ - “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล - “ไมค์ ระยอง” ภาณุพงศ์ จาดนอก กลับหายหัวกันเกลี้ยง
จนต้องติดป้ายประกาศหา “คนหาย” พร้อมกระแสข่าวต่อท้ายว่า แกนนำหลัก 2 กลุ่ม คือ “ก๊วนเยาวชนปลดแอก” ของ “ฟอร์ด” ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี กับก๊วนอื่นๆ โดยเฉพาะ “ก๊วนธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ของ “เพนกวิน-รุ้ง” ต่างถือ “อีโก้” ไม่ลงให้กัน จนระยะหลัง “เล่นคนละคีย์” บ่อยครั้ง
เอาเป็นว่า แกนนำคนสำคัญที่ถูกมีหมายจับยาวเป็นหางว่าว หรือเพิ่งออกจากคุกมา แสดงอาการแปลกๆ แหยงๆ “มุ้งสายบัว” ให้เห็นเหมือนกัน
ยิ่งให้หลังการชุมนุมเมื่อวันที่ 8 พ.ย. “อานนท์” โพสต์เฟซบุ๊กด้วยถ้อยคำแปล่งๆ ว่า ทางออกของประเทศคือ “การประนีประนอม” ถูกถอดรหัสว่า เหมือนม็อบจะรู้ตัวว่า เริ่มจะไปต่อไม่ไหว แต่กลับตัวไม่ได้เท่านั้นเอง
ส่งกลิ่นคุกรุ่นภายใน “แกนนำม็อบ” พอสมควร
ขณะเดียวกัน การส่งสาส์นในวันนั้น ก็เริ่มจะมี “ความย้อนแย้ง” ในตัว เพราะตัวเองเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เรียกร้องให้สถาบันฯ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่กลับเดินเข้าไปหา ราวกับว่า อยากสร้างสถานการณ์ให้ใช้ “กติกาพิเศษ”
การกดดันในลักษณะนี้ไม่ต่างอะไรกับการให้กระทำการในสิ่งที่อยู่ “นอกรัฐธรรมนูญ” คิวนี้มันก็ล้วงไส้ม็อบได้เหมือนกันว่า ชักไม่มีทรง แค่อยากจะเอาชนะ
ต้องยอมรับว่า หากไม่มีเงื่อนไขอื่นที่สร้างกระแสได้ การชุมนุมครั้งต่อๆ ไป จะต้องปวดหัวกับการงัดมุกอะไรมา “เรียกแขก”
หากจะไปต่อก็เหลือวิธีเดียวคือ การสร้างความรุนแรง ที่จะสามารถทำให้สถานการณ์มันกลับมาร้อนระอุ และกดดันรัฐบาล โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่’ ได้มากกว่าเดิม
ทางอื่นๆ ยังมองไม่เห็นว่า จะมีลูกเล่นอะไรที่มีพลัง
“ธนาธร” เจอดี “คนรักเจ้า”
ความขัดแย้งส่งผลกระทบไปถึงบรรยากาศการเมืองภาพรวมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในสนาม “เลือกตั้งท้องถิ่น” ที่บรรยากาศหาเสียงที่อิงกระแสร้อนทางการเมืองเป็นหลัก
ในจังหวะที่ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่อยู่ในช่วงตระเวนช่วย “ลูกหาบ” หาเสียงในพื้นที่ 41 จังหวัดที่ส่งผู้สมัครลงชิงชัย ทั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด “นายก อบจ.” และสมาชิก อบจ. ที่ออกทัวร์ได้ไม่นาน ก็เริ่มเจอดีจากมวลชนฝั่งเสื้อเหลือง ที่พออนุมานได้ว่าเป็น “กลุ่มคนรักสถาบันฯ”
เจอแรงๆ แทบทุกจังหวัด “คนรักเจ้า” ตามฮือไปขับไล่ตะโกนใส่ “หนักแผ่นดิน” ด้วยมองว่า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และผู้ก่อตั้งนิตยสารฟ้าเดียวกัน เข้าข่าย “คนล้มเจ้า” นั้นเอง
ทั้งที่ “มหาชัย” จ.สมุทรสาคร และ “แปดริ้ว” จ.ฉะเชิงเทรา ที่เจอตะโกนถามดังๆถึง “จุดยืน” เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนเจ้าตัว “เสี่ยเอก” ที่เคยพร้อมไฝ้วทุกเวที ต่อต่อคำแบบไม่ตกฟาก ถึงกับ “หน้าเจื่อน” พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ได้แต่ท่องคาถา “ไม่เป็นไรๆ”
ล่าสุด เจอดีระหว่างเดินทางไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ. ที่ “เมืองคอน” จ.นครศรีธรรมราช เกิดเหตุการณ์เจอกลุ่มคนเสื้อเหลืองรุมลบ้อมรถ ตะโกนด่าทอ จนต้องเลี่ยงการเผชิญหน้า หาเสียงไม่เป็นสุข
แม้จะออกตัวว่า ไม่ได้อยู่ในรถยนต์คันดังกล่าว แต่ภาพการประท้วงรุนแรงที่น่าจะเป็น “อุปทานหมู่” ไปทางหลายพื้นที่ เริ่มตั้งแต่ จ.สมุทรสาคร มาถึง จ.นครศรีธรรมราช ก็พออนุมานได้ว่า เส้นทางออนทัวร์หาเสียงของ “เสี่ยเอกและชาวคณะ” ท่าจะ “เดินไม่สะดวก”
ถือจะลอยตัวมาตลอดว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับ “ม็อบราษฎร” แต่ “ธนาธร” ก็ถูกมองว่า เป็น “ผู้อยู่เบื้องหลัง” โดยเฉพาะภาพประจานจากวงปาร์ตี้ “ลาบก้อย-ซอยจุ๊” ร่วมกับ “แกนนำม็อบ” ไม่กี่วันก่อนก็สะท้อนสายสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางได้ไม่น้อย
ขณะเดียวกัน ก็น่ากลัวจะเกิดปรากฏการณ์ “ล่าแม่มด” เป็นบรรทัดฐานไปให้อีกฝ่าย ในเมื่อ “ธนาธร” ถูกไล่ โดนล้อมรถ อีกฝ่ายก็มีสิทธิ์ที่จะกระทำแบบนี้กับคนที่ไม่ชอบเหมือนกัน โดยเฉพาะการลงพื้นที่ไปต่างจังหวัดของ “บิ๊กตู่” หลังจากนี้ ที่อาจจะไม่ได้เจอแค่ “ชู 3 นิ้ว” แล้ว
บรรยากาศชักไปละม้ายคล้ายยุครัฐบาล “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่วันนั้นแบ่งข้างกันชัดเจนระหว่าง กลุ่มคนเสื้อเหลือง กับกลุ่มคนเสื้อแดง หรือสมัยรัฐบาล “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ฝ่ายหนึ่งเป็น “แก๊งนกหวีด” กลุ่ม กปปส. กับฝ่ายคนเสื้อแดงสนับสนุนรัฐบาล
“อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์” ไปที่ไหน เจอประชาชนตามมาไล่ราวี แบบลงพื้นที่ทีต้องอารักขา ดูแลความปลอดภัยกันเข้มงวด คือ ต้องไปแบบหลบๆ ซ่อนๆ เสร็จงานแล้วกลับ ส่งสัญญาณ “ว.5” เป็นว่าเล่น
ตามจังหวะที่หลายพื้นที่ มีการแสดงพลังของมวลชนเสื้อเหลืองแบบถี่ยิบ และเริ่มชักมี “ตัวดึงดูด” เรียกคนเข้าร่วม อย่างคิวล่าสุด สองพี่น้องฝาแฝด “ท็อป-ไทด์” บิณฑ์ – เอกพันธ์ บันลือฤทธิ์ ที่ถูกยัดเยียดให้อยู่ฝั่งตรงข้ามม็อบ ประกาศสถาปนา “ม็อบรักเจ้า” วางคิวเดินสายชุมนุมแสดงพลังในทุกจังหวัดทั่วประเทศเพื่อแสดงความจงรักภักดี เทิดทูนพระมหากษัตริย์
ต้องบอกว่า จัดมา 1-2 หน มวลชนคนสวมเสื้อเหลืองหนาตากว่าแต่ก่อน ตอนยังไม่มี “ตัวชูโรง” หน้าใหม่ๆ
ดูแล้วอีเวนต์ระดมคนจงรักภักดีน่าจะมีขึ้นอีกหลายจังหวัด เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับม็อบ และนั่นก็ยิ่งเสี่ยงให้เกิดการเผชิญหน้าในเร็ววัน
หากอีกฝั่งโดนอย่างไร อีกฝั่งก็โดนเช่นกัน บรรยากาศมันอยู่ในโหมดพร้อมจะบวกกันทุกเมื่อ
สะท้อนให้เห็นเหมือนกันว่า วันนี้ความขัดแย้งมันฝั่งแน่นไปทุกหย่อมหญ้าแล้ว การเผชิญหน้ามันจะส่อจะเกิดในทั่วทุกภูมิภาค ขนาดตอนนี้เข้าโหมดหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น บรรยากาศประชาธิปไตยแท้ๆ ยังเล่นกันแรงถึงขนาดนี้
เท่ากับว่า ประเทศอยู่ในโหมดน่าจะแลกเปลี่ยนรับฟังกันได้ยากแล้ว ขนาดเวทีดีเบตผ่านหน้าจอทีวี หวังจะมีจุดร่วม สุดท้ายแขกรับเชิญสองฝ่ายก็พูดกันคนละภาษา กลายเป็นรายการป่าหี่เรียกเรตติ้งให้สถานีเท่านั้น
บรรยากาศแบบนี้บอกเลย “อยู่กันยาก” แล้ว
“คณะก้าว”ส่อเจ๊งท้องถิ่น
ผลพวงบรรยากาศความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อาจทำให้ฝ่ายรัฐบาลผู้กุมอำนาจ หงุดหงิดรำคาญใจอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าอยู่ในจุดที่ “ถือไพ่เหนือกว่า” ด้วยขณะนี้ไม่ได้มีแค่ “ม็อบแช่ง” ของกลุ่มราษฎรเพียงฝ่ายเดียว เพราะมี “ม็อบเชียร์” เกินขึ้นในระนาบใกล้เคียงกันด้วย
ทว่ากลับเป็น “ธนาธร” ที่มีชื่ออยู่ใน “สมการความขัดแย้ง” ต่างหาก ที่เริ่มมีความลำบากลำบนในการลงพื้นที่ให้เห็น
แม้ล่าสุดจะปล่อยคลิปโชว์ลีลาพริ้วสเกตบอร์ดอย่างสบายที่ จ.พังงา หลังเพิ่งประสบเหตุการณ์ระทึกที่ จ.นครศรีธรรมราช มาหมาดๆ แต่บอกลึกๆแล้วคงไม่ได้สบายใจอย่างที่พยายามแสดง
ด้วยสถานการณ์ “สนามท้องถิ่น” ก็ดูจะไม่ “เป็นบวก” กับคณะก้าวหน้า เท่าที่ควร
ไม่ได้หวือหวาเหมือนเมื่อครั้ง “ค่ายอนาคตใหม่” หาเสียงสนามเลือกตั้งใหญ่ต้นปี 2562
ต้องยอมรับว่ากระแส “ทีมก้าวหน้า” ในหลายจังหวัด ไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด ด้วยความที่กลายเป็น “ของเก่า” ไม่ได้สดใหม่เมื่อวันวาน
ทั้งยังมีแง่มุม“บริบท” ที่แตกต่างจากการเลือกตั้งระดับ ส.ส. ที่ช่วงชิงความได้เปรียบในการจัดตั้งรัฐบาล และการขายนโยบายระดับ “มหภาค” ขณะที่ “สนามท้องถิ่น” ไม่ว่า อบจ.-เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) นั้น ความเป็นอยู่ และการพัฒนาในระดับ “จุลภาค” การพัฒนาในแต่ละท้องถิ่น
ประเด็นการเลือก “ตัวบุคคล” ก็ยิ่งมีความสำคัญสำหรับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น สังเกตได้จากพรรคการเมืองหลักต่างเลี่ยงที่จะส่งตัวผู้สมัครลงชิงชัยในนามพรรค จะมีก็แต่ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย เลือกที่จะส่งในบางพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้มี ส.ส.อยู่ด้วยซ้ำ
ขณะที่ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ตัดขาดไม่ส่งผู้สมัครในนามพรรคเลย ทางกนึ่งเพื่อเลี่ยงบาลีข้อกฎหมายที่ ส.ส.-รัฐมนตรี-ข้าราชการเมือง ไม่สามารถช่วยหาเสียงได้ อีกทางก็รู้ดีว่า เรื่อง “ตัวบุคคล” สำคัญกว่ายี่ห้อ จึงเลือกที่จะสนับสนุนเป็นคนๆไปในหลายพื้นที่
เพราะรู้กันดีว่าเป็นเรื่อง “ตัวบุคคล” มากกว่า
แม้จะเลือกใช้แบรนด์ “ก้าวหน้า” ที่ตัดไม่ขาดจาก “พรรคก้าวไกล” ที่อยู่ในระบบสำหรับการเลือกตั้งระดับ อบจ. แล้วตัว “ธนาธร” ผู้เป็น “เบอร์หนึ่ง” จะลงมาตีโมงด้วยตัวเองก็ตาม
ทว่าเหลืออีกเพียงเดือนเศษจะถึงวันกาบัตร วันที่ 20 ธ.ค. กระแส “ก้าวหน้าฟีเวอร์ - ธนาธรฟีเวอร์” ก็ยังไม่ปรากฏ หรือหากกระแสมาจริง ก็ยังน่ากลัวว่า อาจเจอ “กระสุน” ยิงร่วงในช่วงโค้งสุดท้าย
แล้วยังมีคำถามตัวโตๆ ว่า ธนาธร - ปิยบุตร แสงกนกกุล - พรรณิการ์ วานิช คีย์แมนของคณะก้าวหน้า ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองสามารถเข้ามีส่วนได้เสียเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นได้หรือไม่ ตามที่มีผู้ไปร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) ไว้แล้ว ที่อาจทำให้ผู้สมัครทั้งหมด “ตกม้าตาย” ง่ายๆ
จนเชื่อว่า “คณะก้าว” จะประสบความสำเร็จในสนามท้องถิ่นได้ยาก ขณะที่ประตู “เจ๊ง” เปิดกว้างมากกว่า
ดองเค็มเกมแก้ รธน.
ขณะที่เกมอีกกระดานการแก้ไขและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ออกหน้าโดย “ก้าวไกล” ในรัฐสภา ก็ส่อเค้าตกเป็นรอง “ฝ่ายกุมอำนาจ” แทบทุกประตู
หน้าหนึ่งฝ่ายรัฐบาลเหมือนจะยอม โดย “นายกฯตู่” ประกาศกลางรัฐสภาเมื่อการประชุมสมัยวิสามัญปลายเดือนที่ผ่านมาด้วยตัวเองว่า จะสนับสนุนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังถูก “เตะถ่วง” เผาเวลามาเดือนเศษ
นัดหมายอีกครั้งเข้าพิจารณารับหลักการวาระที่ 1 กันในวันที่ 17-18 พ.ย.นี้ โดยอ้างว่า “ดึงเวลา” เพื่อรอให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนของ “iLaw” เข้าสู่การพิจารณาในคราวเดียวกัน
แต่อีกหน้าหนึ่งเหมือนจะ “สับขาหลอก” ตามคิวที่ ส.ว. และ ส.ส.พลังประชารัฐ ร่วมกันลงชื่อส่งให้ “นายหัว” ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ญัตติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
เพราะ ส.ว. และ ส.ส.มองว่า มาตรา 255 และ 256 น่าจะหมายถึงการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา แต่ญัตติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญนั้น เสนอให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่ไม่ต่างอะไรกับการรื้อใหม่ทั้งฉบับ
แม้เหตุและผลในการยื่นตีความพอจะฟังได้ แต่ใครก็รู้จุดมุ่งหมายมันน่าจะไปที่เรื่องของการยื้อเวลามากกว่า บทนี้น่าจะมีรายการตุกติกเกิดขึ้น
ลำพัง ส.ว. ยื่นยังพอเข้าใจ แต่การที่มี “ส.ส.พลังประชารัฐ” ตามไปสมทบ คนที่ถูกเพ่งเล็งว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็หนีไม่พ้นบิ๊กบาร์เธอร์ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
การที่ลูกน้องออกมาตีรวน กวนน้ำให้ขุ่น ถ้าไม่ได้ “บิ๊กป้อม” ไฟเขียว ถามหน่อยว่า ใครจะกล้าหาเรื่องให้ “นาย” ปวดหัว โดยเฉพาะประเด็นร้อนๆ อย่างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มุกยื้อเวลาด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เพิ่งถูกฉายครั้งแรก แต่เป็นมุกที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้ในการต่ออายุตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งแรก ตั้ง “จารย์ปึ๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญ แต่พอต้องการลากยาว เลยส่งสัญญาณให้สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คว่ำ เพื่อจะได้เสียเวลายกร่างใหม่ โดยคณะของ “มีชัย ฤชุพันธุ์”
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นการยืมมือศาลรัฐธรรมนูญโดยหวังจะเตะถ่วง เพราะในแง่ของจิตวิทยามันมีผล ต่อให้หลายคนจะแสดงความมั่นใจว่า แก้ไขได้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญก็ตาม
เพราะเมื่อไปอยู่ในเมื่อศาลแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งถ้ายื่นไปแล้วศาลรับคำร้อง มีข้ออ้างให้หลายคนหวาดระแวง ไม่อยากจะยกมือรับหลักการ
โดยหยิบเอากรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาขู่ ที่ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบครานั้นแล้ว ปรากฏว่า มีการส่งลูกไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟัน ส.ส. และส.ว. ที่ร่วมกันเสนอ หรือยกมือให้ความเห็นชอบญัตติดังกล่าว
มิวายทำให้หลายคนหลอนๆ กลัวจะโดนคดีความเข้าให้
กับอีกจุดมุ่งหมายคือ การหวังยืมมือศาลรัฐธรรมนูญตีตกญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวแทนสภา เพราะอย่างที่รู้กัน มันมีหลายจุดที่ ส.ส.ก็ไม่มั่นใจว่า จะทำได้หรือไม่ นั่นคือ เรื่องการให้มี ส.ส.ร.ขึ้นมาแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่มีอยู่ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตราไหนเลย
ถ้าขัดรัฐธรรมนูญขึ้นมา แทบไปต่อไม่ได้ อย่างที่ “เสี่ยต๋อม” ชัยธวัชน ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ออกมาเปรยๆในเชิงทำใจแล้วว่า หากมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับปิดประตูล็อกตายการแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่
อิหรอบนี้ เท่ากับว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ในระบบ” สามารถทำได้แบบ “รายมาตรา” เท่านั้น ที่ต้องยื่นญัตติกันใหม่ เข้าโหมด “ดองเค็ม” เสียเวลากันไปอีกเป็นปีๆ
มองไม่ผิดว่า ไม่มีเจตนาอย่างอื่น นอกจากการผูกปมเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อ “ซื้อเวลา” ออกไป
หนึ่ง ซื้อเวลาเพื่อดูใจ “ม็อบ” ต้องยอมรับว่า ที่วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญมาไกลขนาดนี้ ก็ด้วยแรงกดดันจากนอกสภาของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่หากต่อจากนี้ “ม็อบ” ไม่สามารถเพิ่มแรงกดดันให้มากกว่านี้ ก็คงมาได้แค่นี้เท่านั้น หรือเต็มที่ก็รับหลักการเข้าไป แล้วไป “เท” กันกลางทางก็เป็นได้
อีกหนึ่ง ซื้อเวลาดูใจ “ลุงตู่” ตามคิววันที่ 2 ธ.ค.นี้ จะมี “จุดเปลี่ยน” ตามที่เซียนหลายสำนักวิเคราะห์ ว่านี่คือ “คานหาม” ที่เอามารับ “บิ๊กตู่” ลงจากเกี้ยว เพื่อปลดชนวนความขัดแย้งในประเทศ หลังศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีพักอาศัยบ้านหลวง ทั้งที่เกษียณอายุราชการมาหลายปีแล้ว
กระแสแตกเป็น 2 ฝั่ง ทางหนึ่ง “รอดหวิว” เป็นนายกฯต่อไปชิลล์ๆ อีกทั้ง “โดนเต็มๆ” ปิดตำนาน “นายกฯลุงตู่” แล้วหาคนอื่นมาถืออำนาจแทน
ถ้าออกหน้า “ม็อบแผ่ว” แล้ว “ลุงตู่รอด” โป๊ะเชะทางนี้ น่ากลัวว่า เกมแก้รัฐธรรมนูญ จะถูกยัดใส่ลิ้นชักยาว
แต่ไม่ขอมองไกล เอาแค่เฉพาะหน้า 2 ธ.ค. “ลุงตู่” อยู่หรือไป ออกหน้าไหน ปัญหาก็ไม่จบ.