เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่ารอดมาได้แบบ “หวุดหวิด” อีกแล้วก็ว่าได้ สำหรับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่รอดจากแรงกดดันไล่บี้จนเกือบจะเข้ามุมอับอยู่รอมร่ออยู่แล้วเชียว แม้ว่าหากมองตามสถานการณ์ก็ยังเป็นเพียงแค่ “เฉพาะหน้า” ชั่วคราวเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ยังทำให้มีเวลาได้หายใจหายคอได้ มีเวลาออมแรงกันไว้บ้าง สำหรับศึกข้างหน้าที่เชื่อว่าต้องมี “ตามรายทาง” แน่นอน
ที่ต้องพูดแบบนั้น ก็เนื่องจากหลังจากรอดพ้นมาจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดมาเมื่อตอนช่วงต้นๆ ปี ในตอนนั้นถือว่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เจียนอยู่เจียนไป เรียกว่า “โคม่า” เต็มที ความเชื่อมั่นลดต่ำลงเรื่อยๆ สังเกตได้จากใบหน้าของนายกฯในเวลานั้นที่ “หมองคล้ำ” ร่างกายผ่ายผอม เรียกว่า “เจียนไป” เต็มที
แต่ก็ได้ “อาจารย์หมอ” ระดับปรมาจารย์ที่รับเชิญมาช่วยกันคลี่คลายวิกฤตโรคระบาดดังกล่าว และมีการเผยแพร่ “ภาพถ่าย” ที่ว่านั้นออกไป ทำให้ความเชื่อมั่นของคนเริ่มกลับมา จากประเทศที่เคยมีโควิด-19 ระบาดเป็นประเทศแรกในโลกนอกประเทศจีนที่ถือว่าเป็นต้นทาง โดยเรามีผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับสองในตอนนั้น มาจนถึงวันนี้สามารถควบคุมโรคได้ในระดับที่ดีมาก จนได้รับความสนใจและชื่นชมในระดับโลก
แม้ว่าสามารถควบคุมโรคระบาดได้ดี แต่ในมุมด้านเศรษฐกิจถือว่าย่ำแย่ ถึงขั้นสาหัสกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นแบบเดียวกันทั้งโลก ไม่มีประเทศไหนรอดไปได้ ยกเว้นประเทศจีนที่สามารถควบคุมโรคได้เช่นเดียวกัน และมีระบบเศรษฐกิจภายในขนาดใหญ่ และกำลังปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบ “อี-คอมเมิร์ซ” รวมถึงการใช้ระบบการเงิน “ดิจิทัล” อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ขณะที่ประเทศไทย หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศทั่วโลก หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนรอบบ้าน ก็ยังถือว่าเราดีกว่ามากนัก อย่างน้อยก็มีจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศยังไม่มีตัวเลขรายงานออกมา ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการขยับขยาย “เริ่มเปิดประเทศ” รับนักท่องเที่ยว นักลงทุนเข้ามาบ้างแล้ว แบบมีข้อจำกัด แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
แต่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับต้องมาเจอกับพวก “ม็อบสามนิ้ว” ที่อ้างเรื่อง “ประชาธิปไตย” ที่ผนึกกำลังกับพรรคการเมืองบางพรรค และ “กลุ่มการเมือง” ที่เชื่อมโยงกัน มีการ “ปลุกระดม” ออกมาก่อม็อบขับไล่ พร้อมกับกดดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือจริงๆ แล้วก็คือ ให้ “ร่างใหม่” นั่นแหละ ซึ่งที่ผ่านมา ในช่วงแรกๆ จะสามารถสร้างกระแส สร้างอารมณ์ร่วมได้ดีไม่น้อย มีจำนวนมวลชนเข้าร่วมจำนวนระดับหนาตาทีเดียว แม้ว่าหากจะเทียบกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่ม กปปส. หากนับกันในแบบจำนวนมวลชนยังเทียบกันไม่ได้ แต่ก็ถือว่าสามารถสร้างแรงกดดันได้ไม่น้อย เนื่องจากเป็นการชุมนุมในรูปแบบใหม่ที่ใช้พวก “เด็กๆ-เยาวชน” ยืนอยู่แถวหน้า ทำให้สร้างความลำบากในการขัดขวาง หรือสลายการชุมนุม
กลับกลายเป็นว่า แทนที่การชุมนุมนานวันจะเพิ่มแนวร่วม ขยายจำนวนมวลชน กลับกลายเป็นตรงกันข้าม นั่นคือ ยิ่งนานยิ่งฝ่อ มวลชนยิ่งหด เนื่องจากเป้าหมายหลักกลับกลายเป็นการเรียกร้องให้ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” แต่เมื่อพิจารณาในเนื้อหาจำนวน 10 ข้อ รวมทั้งท่าทีที่แสดงออกมาแบบ “ก้าวร้าว เหยียดหยาม” หรือ “หมิ่นพระเกียรติ” ทำให้หลายคนไม่พอใจ และกำลังเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน ทำให้จำนวนมวลชนเริ่มหดตัวลง อย่างน้อยก็ทำให้พลังฮึกเหิมที่เคยมีก่อนหน้า ลดลงไปมาก
ขณะเดียวกัน มีแนวโน้มว่า “ปฏิกิริยาที่ย้อนกลับ” ดังกล่าว ส่งผลในทางลบกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้ากลุ่มก้าวหน้ากับพวกที่กำลังส่งผู้สมัครองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต้องรับผลกระทบแบบคาดไม่ถึง เพราะกำลังถูกกระแส “พวกล้มเจ้า” เข้าไปอย่างจังในเวลานี้
อีกด้านหนึ่งกลับกลายเป็นว่าทำให้ “ลุงตู่” อยู่ในสภาวะ “ลอยตัว” ขึ้นมาทันที อย่างน้อยก็ทำให้แรงกดดันเบาลงเป็นการชั่วคราว และที่น่าจับตาก็คือ เวลานี้มาตรการของรัฐบาลที่เรียกว่า “คนละครึ่ง” ที่ออกมาเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าครองชีพประชาชนทั่วประเทศ กำลังได้รับความนิยม และชาวบ้านชื่นชอบ จนทำให้เตรียมที่จะขยายให้มีการลงทะเบียน “เฟสสอง” ในเดือนธันวาคมนี้
ก็ต้องบอกว่านี่คือ “ตัวช่วย” ที่มาแบบทันเวลา แบบคาดไม่ถึง เพราะในช่วงแรกที่เปิดให้ลงทะเบียนจำนวน 10 ล้านคน มีคนเข้าไปลงทะเบียนน้อย และร้านค้าที่เข้าร่วมก็ไม่มาก แต่เมื่อนานเข้ากลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีการกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เพราะร้านค้าขนาดเล็ก แผงลอย ต่างเข้าร่วมกันอย่างล้นหลาม ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งคราวนี้พวกร้านสะดวกซื้อห้างใหญ่ไม่ได้เข้าร่วม
แน่นอนว่าโครงการ “คนละครึ่ง” มาช่วย “ดึงเรตติ้ง” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ฟื้นกลับมาอีกรอบ ได้มีเวลาหายใจหายคอได้สักระยะหนึ่ง นี่ยังไม่นับเรื่องการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นเวลาสามเดือน รวมไปถึงโครงการ “เที่ยวด้วยกัน” และ “ช้อปดีมีคืน” ที่ยังมีอยู่ แต่หากมีการ “ตีปี๊บ” ในช่วงหยุดยาวปลายปีนี้ ก็เชื่อว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีไม่น้อย
ดังนั้น หากบอกว่าโครงการ “คนละครึ่ง” ถือว่ากลายเป็น “ทีเด็ด” แบบคาดไม่ถึงที่ดึงให้ “ลุงตู่” กลับออกมาจากมุมอับ อย่างน้อยก็ชั่วคราว ก่อนที่จะต้องเจอกับแรงกระหน่ำทางการเมือง โดยเฉพาะในสภาที่ต้องเจอแน่ๆ ก็คือ ศึกซักฟอกที่ฝ่ายค้านจองกฐินเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้ว่าคงผ่านอยู่แล้ว แต่ในช่วงเวลานั้น มันก็เป็นกระแสที่ตึงเครียด แต่เอาเป็นว่านาทีนี้ ถือว่าผ่อนคลายลงไปมากแล้ว !!