"โสภณ องค์การณ์"
ว่าแล้วไง...มหกรรมตีปี๊บป่าวร้องเรื่องคณะกรรมการสมานฉันท์ปรองดองเพื่อหาทางออกสำหรับความขัดแย้งในบ้านเมือง ทำท่าว่าจะแท้งก่อนท้องเสียด้วย หลังจากมีเสียงท้วงติงซ้ำซากว่าเส้นทางนั้นเป็นไปไม่ได้ เหมือนวิ่งไล่จับเงาตัวเอง
ผู้อาวุโส อดีตนายกฯ บางท่านตกปากรับคำว่าจะเข้าร่วมตามทำเชิญของท่านประธานสภา นายหัวชวน ฟองน้ำลายยังไม่ทันจาง ก็มีเสียงปฏิเสธจากหลายฝ่าย ทั้งแกนนำม็อบราษฎร ฝ่ายค้าน ว่าอย่างเดียวกันว่าไม่ได้เรื่อง เป็นแค่เกมยื้อ
จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อยังไม่รู้ว่าฝ่ายขัดแย้งมีใครบ้าง จะตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ จะไปสมานอะไรกับใครก็ยังไม่รู้ เหมือนกับยังไม่รู้ว่าปัญหามีอะไร ก็ไปตั้งทีมสำหรับแก้ไขแล้ว ยังไม่รู้สึกคันเลย รีบเกามั่วเสียก่อน
ยิ่งถ้าเอาตัวปัญหาหลักไม่ต้องเข้าร่วมด้วยตั้งแต่แรก ก็สะดุด คนแก้ไขก็ว่ากันไป โดยไม่รู้ว่าพวกขัดแย้งยอมตกลงด้วยหรือไม่ถ้ามีมติว่าฝ่ายใดต้องทำอย่างไร
ก็ลุงตู่ผู้นำ ต้นตอของความขัดแย้งอย่างที่ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน ประกาศย้ำซ้ำซากว่า “ผมไม่ออก” “ไม่ได้ทำอะไรผิด” ไม่เข้าร่วมเจรจาด้วย จะได้เรื่องอะไร
อดีตนายกฯ อีก 2 คนคือท่านแดนไกลและน้องสาว ก็เป็นคู่ขัดแย้งของลุงตู่ และถูกมองว่าเป็นสปอนเซอร์หลักรายหนึ่งของคนเสื้อแดง ก็ไม่ได้เข้าร่วมด้วย แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ตอนแรกต้องรู้ก่อนว่าปัญหาคืออะไร มีแค่ไหน
ต้องดูด้วยว่ามีใครเป็นคู่กรณีขัดแย้งบ้าง เช่นลุงตู่ ม็อบเด็ก นปช. เสื้อแดง ฝ่ายค้าน พรรคการเมือง กลุ่มกดดันรณรงค์ กลุ่มนกหวีด กลุ่มติ่ง นักรักชาติทั้งหลาย จะถือว่าพวกนี้อยู่ในความขัดแย้งต้องเข้ามาหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครชี้ชัดได้
อาจจะมีมากกว่านี้อีก เพราะปัญหาหมักดองมานานหลายปี ไม่มีใครกล้าแตะ หรือเอามานั่งเจรจากันอย่างจริงจัง เพราะทุกฝ่ายต่างปักหลักยึดถือผลประโยชน์ของตัวเองอย่างมั่นคง ไม่ยอมถอย หรือต้องมีเงื่อนไข
แบบนี้ต่อให้ตั้งอีกหลายกรรมการ ก็ไม่มีทางแก้ไขได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าหนทางออกที่เป็นไปได้คือเอา “ตัวจริง” ในกรณีขัดแย้งมาว่ากัน ให้คณะกรรมการรับรู้ รับฟัง ไม่ต้องส่งตัวแทนไร้อำนาจตัดสินใจมานั่งให้เปลืองแอร์ อาหารว่าง น้ำชากาแฟ
เสียเวลาทั้งกรรมการและ คนที่ต้องจัดการประชุม เพราะล้มเหลวแหงๆ!
ไม่ต้องว่าอะไรมาก เพียงแค่ตัวปัญหาไม่เข้าร่วม อย่างเช่นลุงตู่ผู้นำงี้ ถกแล้ว มีมติแล้ว แต่ลุงตู่บอกไม่สน จะให้ออก ก็ไม่ออก แล้วใครจะทำอะไรได้ เพราะธรรมชาติของคนก็คือ เมื่อถึงจุดหนึ่ง แต่ละคนต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนตนก่อน
คนที่คิดเสนอตั้งกรรมการ 7-8 ฝ่าย คือพวกที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร และไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย เพียงแค่เสนอความคิดให้ดูเท่ โอ่อ่า สูงส่ง ใฝ่สันติ แต่ถ้านั่งเพ่งมองให้ดี ก็จะได้รู้ว่าแบบนี้เป็นพวกนักตีกิน เล่นเกมด้วยการยื้อเวลาเท่านั้น
ตัวปัญหาอยู่ในทำเนียบฯ โน่น จะไม่ให้เข้ามาร่วม ปล่อยให้ลอยตัวอยู่ได้อย่างไร อีกฝ่ายก็อยู่กลางถนนตากแดดโน่น ที่เหลือก็อยู่ในร่มเงา อยู่เบื้องหลัง รอตีกิน ชุบมือเปิบเช่นกัน ดูแล้วเป็นเพียงมหกรรมยื้อถ่วงเวลา ให้ปัญหาอ่อนล้าไปเอง
คนดูไบก็ต้องมาคุย จะได้รู้ว่ามีส่วนรับผิดชอบบทบาทที่ผ่านมามากน้อยแค่ไหน ว่ากันให้ประชาชนได้รับรู้ ถ่ายทอดสดออกทีวี ชาวบ้านอยากถามก็ถาม
ทำแบบนี้ได้ถือว่ากล้าหาญ กล้าเผชิญปัญหา มีความอยากแก้ไข ไม่ใช่ทำตัวเป็นนักลอยตัว นับชุบมือเปิบ ฉกฉวยผลประโยชน์ เป็นนักตกปลาในบ่อน้ำขุ่น
อดีตนายกฯ 3-4 ท่านก็รู้ว่า คณะกรรมการที่ว่าจะไม่เกิดมรรคผลอะไร เพราะแต่ละคนก็ผ่านการตั้งกรรมการปรองดองสมานฉันท์มาแล้ว บางท่านก็เป็นหัวหน้าคณะศึกษาด้วยซ้ำ ตั้งมาแล้วอย่างน้อย 4 คณะ เขียนรายงานเสร็จก็เก็บไว้บนหิ้ง
นั่นเป็นเพราะไม่มีใครมีเจตนา หรืออยากแก้ปัญหาอย่างจริงใจ เพราะในความขัดแย้งทุกครั้งย่อมมีโอกาสงามๆ สำหรับนักตีกินให้หาประโยชน์เสมอ
บ้านเมืองจึงไปลำบาก เพราะแต่ละฝ่ายเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน คนอยู่ในอำนาจก็เสพติดอำนาจและผลประโยชน์ จะลุกออกไปก็กลัวคนมาขุดคุ้ยหาทางเล่นงานเพราะก่อนหน้านี้ได้นั่งทับหรือซุกอะไรไว้เยอะ วางเครือข่ายผลประโยชน์ไว้ด้วย
ไม่ได้ยินหรือกับคำร่ำลือที่ว่าช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นยุครุ่งเรืองของการทุจริตคอร์รัปชั่นกินคำใหญ่ งาบคำโต อย่างไม่ต้องอายผีสางเทวดา ทั้งๆ ที่ไม่มีนักการเมืองแม้แต่คนเดียว จนกระทั่งหลังจากเลือกตั้ง และมีรัฐบาลใหม่
แสดงให้เห็นว่าการทุจริต คอร์รัปชั่น ไม่ใช่กลุ่มนักการเมืองผูกขาดไว้ หรือมีความสามารถเฉพาะ คนอาชีพอื่นๆ นักรัฐประหารก็ไม่เบาเช่นกัน เพราะเป็นยุคของการกระจุกตัวของการทุจริตภายไต้อำนาจพิเศษ ชาวบ้านไม่สามารถตรวจสอบได้
เพียงแต่รับรู้ว่าเป็นยุคของ “รัฐประหารแล้วรวย” กว่าทุกสมัยที่ผ่านมา!
ประเทศไทยจึงอยู่ในสภาพน่าสงสาร คนมีอำนาจแต่ละยุคไม่รักชาติจริง ถ้าปลอดการทุจริต บ้านเมืองจะดูดีกว่านี้เยอะ ถ้างบประมาณถูกใช้ไปอย่างเต็มที่ แต่กลับกลายเป็นว่าคณะเสือหิวหลายชุดได้เร่งทำเวลากอบโกยก่อนจะหมดเวลาโกง
เมื่อกรรมการทำท่าว่าจะไม่เป็นความจริง ม็อบก็พยายามยกระดับข้อเรียกร้อง ล่าสุดได้ประกาศจะชุมนุมสุดสัปดาห์นี้ พร้อมข้อเรียกร้องเรื่องสถาบัน เป็นประเด็นเดียว ถือว่าเป็นการรุกคืบหน้าด้วยความลำพองว่ามีมวลชนมากพอสำหรับกดดัน
มันบ่แน่ดอกนาย! ทุกอย่างมีจุดอิ่มตัว จุดตายทั้งนั้น เมื่อประกาศอย่างอหังการ ต้องถามลุงตู่ผู้นำว่าทุกวันนี้ยังคิดว่าตัวเองจะไม่ใช้คู่ขัดแย้งหรือตัวปัญหาหลักของบ้านเมืองอีกหรือ ต้องรอให้ถึงจุดแตกหัก ยากแก้ไขก่อนหรืออย่างไร
นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับลอยตัวตีกินอีกแล้ว ต้องลงมือแก้ปัญหา ง่ายที่สุด ได้ผลเร็วที่สุด นั่นคือการลาออก ไม่มีใครห้ามลุงตู่งดใช้สิทธินั้นด้วย!