"โสภณ องค์การณ์"
“บริหารได้ ปกครองไม่ได้” เป็นภาวะธรรมชาติของรัฐบาลเป็ดง่อย เกิดขึ้นที่ใด ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องไป ขึ้นอยู่กับว่าบ้านเมืองจะไปก่อน หรือคณะรัฐบาลจะไปก่อน หรือเล่นเกมจนกระทั่งต้องไปด้วยกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นประชาชนประสบเคราะห์กรรมแน่
ความลุ่มหลงมัวเมา เสพติดอำนาจ มักทำให้ผู้นำประเทศลืมตัว คิดว่าตัวเองเป็นคนของชาติที่จะขาดเสียมิได้ ถ้าตัวเองไม่อยู่แล้วบ้านเมืองจะเสียหาย
ลืมคิดไปว่าตัวเองคือปัญหาหลัก มีเสียงเตือนซ้ำซากแต่ไม่ยอมฟัง เอียงหูให้แต่ฝ่ายประจบสอพลอ กลุ่มอิงผลประโยชน์ที่ปั่นหัวเป่าหูว่าถ้ายอมลงจากอำนาจ จะเกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง “ดังนั้นท่านต้องอยู่ต่อไป เพื่อความอยู่รอดของชาติ”
ประวัติศาสตร์มีให้เห็นแล้ว ผู้นำรัฐยิ่งใหญ่แค่ไหน เมื่อต้องลงจากอำนาจหรือมีอันเป็นไปเพราะเหตุธรรมชาติหรือการถูกแย่งอำนาจ จะมีคนใหม่มาแทนได้เสมอ
หลายครั้ง คนมาแทนกลับมีพฤติกรรม ความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการบ้านเมืองได้ดีกว่าพวกที่เข้ามาโดยประชาชนไม่ได้เลือก มาโดยวิธีพิเศษ
ที่ว่ามานี้ ไม่เจาะจงประเทศไหนโดยเฉพาะ เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองซึ่งได้เคยเกิดขึ้นในหลายดินแดน แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเหตุอย่างนี้ได้ เพราะจะมีคนคิดว่าตัวเองเก่งกว่าพวกที่ล้มเหลวไปแล้วในอดีต รับรองว่าตัวเองไม่พลาดแน่ๆ
กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไป กลับตัวไม่ทัน ผลสุดท้ายก็เผชิญชะตากรรมไม่สวย!
มาว่าบ้านเราบ้าง ก็คงหนีไม่พ้นสภาพที่ใกล้เคียงกับรัฐบาลเป็ดง่อย ล่าสุด มีอำนาจฉุกเฉิน “ร้ายแรง” ออกมาบังคับใช้ไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่ทำพลาดเรื่องสลายม็อบหน้าสยามพารากอนทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุร้ายรุนแรงหรือยั่วยุ โดนสวดกระหน่ำจมหู
ความฉุกเฉินรุนแรงช่วยอะไรรัฐบาลของลุงไม่ได้ บังคับใช้ไม่เป็นผล คนไม่กลัวคดีอาญา ออกมาชุมนุมทุกวัน หลายจุดในเมืองหลวงและในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ไม่มีเหตุรุนแรง แต่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้สะดวก
จากนั้น โดนไม้เด็ดกลุ่มม็อบราษฎร จำเป็นต้องยกเลิกเพราะทนแรงกดดันไม่ได้ เจ้าหน้าที่ส่วนควบคุมฝูงชนตาเหลือก ทำอะไรไม่มีกฎหมายคุ้มครอง เสี่ยงต่อการโดนฟ้อง ก็ต้องปล่อยวาง เพราะเป็นการกระทำของรัฐบาลที่ฉุกเฉินเกินเหตุ
เป็นผลของการ overreact ต่อสถานการณ์ที่ยังไม่เข้าข่ายต้องใช้มาตรการเข้มข้นขั้นสลายการชุมนุม เท่ากับว่าเดินหมากผิดตาเดียว เสียหายทั้งกระดาน นายตำรวจอยากทำงานเอาหน้าอวดเจ้านาย กลายเป็นหมาหัวเน่าเพราะตัดสินใจผิด
รัฐบาลลุงยิ่งอยู่ในสภาวะร่อแร่ ก็ทำให้เข้าขั้นโคม่า ทำอะไรก็ผิดพลาดพลั้ง จากนี้ไปต้องเป็นเป้าหมายของกลุ่มม็อบราษฎรที่ยื่นข้อเสนอเชิงคำขาด “นายกฯ ต้องลาออก” ไปสถานเดียว ประเด็นอื่นยังคุยกันได้หรือเป็นเรื่องอิงเงื่อนไขอื่นๆ
การที่ลุงต่อประกาศ “ผมไม่ออก” “ผมทำผิดอะไร” ก็หนักหนาสาหัสเรียกแขก เรียกทัวร์ลงอยู่แล้ว ยิ่งมาแถลงการณ์ด้วยมาดเนี้ยบคืนวันพุธ ชักชวนให้ทุกฝ่ายถอยคนละก้าวนั้น ไม่มีพลัง ไร้น้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ ถูกมองว่ากำลังเข้าจุดอับจน
ไม่มีอำนาจพิเศษ ถ้าไม่ลาออก โดนม็อบรุกหนัก จะประกาศภาวะฉุกเฉิน “รุนแรง” คงไม่พอ น่าจะเป็น “ฉุกเฉินรุนแรงกว่า”** รุนแรงครั้งก่อน แต่ใครจะเชื่อรัฐบาลลุงที่ถูกมองว่าขาดความชอบธรรมไปนานแล้ว หรือตั้งแต่เริ่มปรากฏตัวโน่น
จำได้นะว่าสภาวะวิปริตเกิดจากรัฐธรรมนูญสั่งการโดยกลุ่มนายพลแก่ๆ ที่ยังกระหายอำนาจและผลประโยชน์ ทำให้มี “วุฒิสมาชิก 250 คนที่ประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามา” ได้มีอำนาจ “เลือกคนที่ประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามาให้เป็นนายกฯ”
สภาพแบบนี้มีความชอบธรรม หรือคุณธรรม หรือธรรมอะไรอื่น เพราะเป็นการหักดิบต่อเนื่องหลังจากทำรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วเสนอตัวมาเป็นผู้บริหารประเทศโดยไม่มีใครร้องขอ แถมยังดื้อรั้นอยู่นานอย่างไม่ยอมอาย
ลุงตู่ไม่มีทางเลือกอื่นๆ “ที่ดีสำหรับบ้านเมือง” ยกเว้นการลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้มีเส้นทางเดินใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องมีคณะนายพลสูงอายุเข้ามากุมอำนาจและตักตวงผลประโยชน์ห้าตัวเองและเพื่อนพ้องน้องพี่นานกว่า 6 ปี
ช่วง 5 ปีแรก ไม่มีนักการเมืองในคณะรัฐบาล แต่กลับมีพฤติกรรมทุจริต โกงบ้านกินเมืองคำโตอย่างสนุกสนาน ทำให้มีเศรษฐีรายใหญ่ รายย่อย แจ้งเกิดใหม่ บรรดาขุนทหารต่างพากันสนุกสนานกับชีวิตใหม่ มีเงินทองใช้ ไม่ต้องอิจฉาใครอีก
จึงเป็นคำครหาว่า “รัฐประหารแล้วรวย” ทำให้จำเป็นต้องอยู่สืบทอดอำนาจให้ยาวนานที่สุด เพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์พวกตัวเอง จึงเป็นต้นเหตุของรัฐธรรมนูญฉบับพิสดาร และการเมืองวิปริตที่กำลังเป็นกรรมตามไล่ล่ากลุ่มลุงนี่ไง
มาถึงจุดนี้ ทางเดินข้างหน้าตีบตันสำหรับคณะลุง การยื้อยึดดึงดันว่า “ไม่ออก” ก็คงเป็นยืดเวลาไปสักระยะ ยาวหรือสั้นก็สุดแล้วแต่ สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ ผลสุดท้าย “ลุงตู่” ต้องไปจนได้ จะไปแบบสวยหรือขั้นลำบาก ไม่มีที่ยืน ก็ต้องรอดู
ประวัติศาสตร์ของพวกมัวเมาอำนาจจนลืมตัว แล้วลงเอยอย่างไร มีให้เห็น ในบ้านเราก็มีตัวอย่างแบบตัวเป็นๆ ให้เห็นกันอยู่ทุกวัน และเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย การที่ลุงจะอ้างว่าตัวเองต้องอยู่แก้ไขปัญหาบ้านเมืองนั้น เป็นการคิดเอาแต่ได้
กลุ่มคนเสื้อเหลืองที่เพิ่งออกมาสำแดงพลังวันพุธที่ผ่านมาในหลายพื้นที่ ก็เพื่อ “ปกป้องสถาบัน” เป็นการประกาศชัด ไม่มีกลุ่มใด หรือใครที่บอกว่าปกป้องหรือสนับสนุนลุงตู่ ดังนั้น เป็นประเด็นน่าหัวร่อที่จะโยงว่าพวกกลุ่มนี้ปกป้องลุงตู่ด้วย
ถ้าลุงตู่และพวกไม่ยอมรับประเด็นนี้ ยังหลงคิดว่าพวกปกป้องสถาบันเป็นพวกปกป้องพวกลุง จะเป็นการคิดผิด ทำผิดซ้ำอีก และถ้ายิ่งฝืนอยู่ต่อ จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม และจะนำไปสู่จุดจบที่ไม่สวยอย่างมาก
ว่ากันง่ายๆ ถ้าลุงตู่ไป บ้านเมืองอยู่รอด ถ้าลุงตู่อยู่รอด บ้านเมืองไปไม่รอด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และภาคส่วนอื่นๆ เพราะลุงหมดสิ้นความชอบธรรมแล้ว!
เจื้อผมเต๊อะ! ออกไปตอนนี้ยังอาจรอดปลอดภัย ถ้าช้าจะสายเกินแก้ ดูคนดูไบและน้องสาว เป็นตัวอย่างที่ลุงและพวกลุงทำรัฐประหารไว้ไม่ใช่เรอะ?