เสียงมวลชนกระหึ่มก้องสถานที่ชุมนุมหลายแห่งทั่วประเทศ “ประยุทธ์ออกไปๆ!” ซ้ำๆ หลายรอบ ไม่หวาดหวั่นกับคำเตือนของเจ้าหน้าที่ให้เลิกรา โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง
ยังไม่รู้ชัดโดยไร้คำอธิบายของผู้ประกาศว่า “ใครฉุกเฉิน?” และ “ร้ายแรงอย่างไร?” เพราะการชุมนุมไม่มีความรุนแรง ไม่มีเผาบ้านเผาเมือง ไม่มีภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ตกใจบุกเข้าปล้นห้างสรรพสินค้าอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2552-53
แต่เป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งใช้ความรุนแรงในคืนที่ม็อบชุมนุมบริเวณสี่แยกปทุมวัน ทั้งๆ ที่ไม่มีการยั่วยุ หรือท่าทีของความวุ่นวายแต่อย่างใด การฉีดน้ำปนเคมี และสีใส่นักศึกษา เป็นการประทับตราให้ผู้ชุมนุม นักเรียนได้เป็น “ผู้กระทำผิดกฎหมาย”
การฉีดน้ำ เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าเป็นการปฏิบัติตามหลักสากล แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็น “สากล” ของประเทศไหน เพราะขัดกับหลักสากลที่ระบุไว้ในคู่มือการปฏิบัติหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน ในด้านการฉีดน้ำ
ช่วงการใช้แก๊สน้ำตาหมดอายุยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม 2551 หน้าบริเวณรัฐสภา คนแขนขาด ขาขาด เสียชีวิต และระดมอาวุธหลายประเภทโหมกระหน่ำใส่ตั้งแต่เช้าตรู่ถึงค่ำคืน เจ้าหน้าที่ก็อ้างว่าเป็นการปฏิบัติตามหลักสากล
กรณีที่สี่แยกปทุมวัน เจ้าหน้าที่ก็ได้ยินเสียงตำหนิจากวงการแพทย์ นักวิชาการ องค์กรสาธารณะต่างๆ ว่าไม่เหมาะสม และมีเสียงเรียกร้องให้ยกเลิกคำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่รัฐบาลคงไม่ยอม เพราะเป็นเครื่องมือคุมม็อบ
แต่ก็ยากน้อยกว่าลุงตู่จะลาออก ตามเสียงเรียกร้องของมวลชนและกลุ่มอื่นๆ ซึ่งมองชัดว่าลุงตู่และคณะคือตัวปัญหา และลุงตู่มีวิกฤตศรัทธาด้านความน่าเชื่อถือ คุณสมบัติผู้นำ อยู่ต่อไปก็เป็นเพียงหัวหน้ารัฐบาลเป็ดง่อย ปกครองไม่ได้ ไม่มีใครฟัง
ยิ่งมีมาตรการต่างๆ ออกมา ถูกมองว่ากระชับอำนาจ ก็ยิ่งทำให้เกิดภาวะเผชิญหน้า ลุงตู่และพวกจะถลำลึกด้วยมาตรการรักษาตัวเอง สุดท้ายจะถึงจุดที่หาทางถอย ลงจากอำนาจอย่างง่ายไม่ได้เสียแล้ว นั่นคือวิกฤตที่จะถูกยกระดับ
คำประกาศของลุงตู่วันก่อน ด้วยท่าทีเชื่อมั่นในอำนาจ “ผมไม่ลาออก” “ผมทำอะไรผิด” เหมือนเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้ดูแก้ไขยากกว่าเดิม เพราะลุงตู่ไม่บอกว่า “ทำไมไม่ลาออก” และถ้า “ลาออกแล้วบ้านเมืองเสียหายอย่างไร”
แต่ถ้ายังไม่ยอมลาออก สถานการณ์เลวร้าย บ้านเมืองเสียหาย ลุงตู่ไม่บอกว่าจะมีใครรับผิดชอบ! ยิ่งถามว่า “ผมทำผิดอะไร” คนที่ได้ฟัง ดูสีหน้าเชิงท้าทาย ก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความอิดหนาระอาใจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันนี้ฟ้องให้เห็นชัดแล้ว
เสียงเรียกร้อง “ประยุทธ์ออกไป” ไม่มีเสียงขานรับว่า “ลุงต่ออยู่ต่อ” จากมวลชนที่สนับสนุนลุง มีแต่มวลชนที่ร้องปกป้องสถาบันกษัตริย์ ยิ่งม็อบลดการเกี่ยวโยงสถาบัน ก็ยิ่งทำให้คนที่ไม่อยากเข้าร่วม ก็ขอร่วมตะโกน “ประยุทธ์ออกไป” ด้วย
ก่อนหน้าโน้น เมื่อลุงตู่ปรากฏตัวในงานต่างๆ จะมีเสียงตะโกนเชียร์ “ลุงตู่สู้ๆ” ไม่ชัดว่าให้สู้กับสถานการณ์หรือสู้กับพวกไม่เห็นด้วย เพราะทุกวันนี้มีหลายกลุ่มที่เรียกร้องให้หาทางออกได้บอกชัดว่าลุงตู่คือตัวปัญหาหลักของประเทศ
เป็นดุ้นฟืนท่อนใหญ่ที่ต้องถูกดึงออกจากกองไฟ เป็นอันดับแรกเพื่อลดความร้อนแรง จากนั้นจะไปกันอย่างไรสำหรับการเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องไม่ยากนัก แต่การที่ลุงตู่แข็งขืน ไม่ยอมลาออก และอ้างว่าตัวเองไม่ทำอะไรผิด ทำให้ไปต่อได้ยาก
ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมไม่ยอมลาออก มีเหตุผลจำเป็นอะไรมากมาย ทั้งๆ ที่อยู่มานานกว่า 6 ปี และถ้าลาออกแล้วบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติเช่นนั้นหรือ และลุงตู่เป็นบุคคลที่ประเทศไทยจะขาดเสียมิได้ ต้องดำรงอยู่ตลอดไป เช่นนั้นหรือ
มีคำพูดว่า “There is no such thing as an indispensable man” ในการเมือง ผู้นำทุกคนพร้อมจะเป็นคน disposable หรือ “ทิ้งเสียก็ได้” ทั้งนั้น และในโลกนี้ไม่มีใครที่เป็นผู้นำที่ขาดไม่ได้ ต่อให้เป็นรัฐบุรุษยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม
อันที่จริงลุงตู่ได้ “อยู่เป็น” มาในสภาวะผู้นำรัฐประหาร รวบอำนาจมานาน 5 ปี จนมาเป็นนายกฯ โดยวิธีพิสดาร ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เต็มไปด้วยปัญหา เงื่อนปมต่างๆ ที่ถูกออกแบบให้คณะรัฐประหารสืบทอดยาวอำนาจหลังฉากประชาธิปไตย
ปัญหาอีกประการคือวุฒิสมาชิก 250 คนซึ่งไม่ได้ถูกเลือกมาจากประชาชน แต่กลับมีอำนาจและสิทธิเลือกนายกฯ ได้ ในกรณีนี้ทำให้เป็นเรื่องพิลึก เมื่อ 250 คนที่ประชาชนไม่ได้เลือกมีอำนาจเลือกคนที่ประชาชนไม่ได้เลือก ให้เป็นผู้นำรัฐบาล
เป็นความพิกลพิการในระบอบประชาธิปไตยที่เอื้อต่อการกินรวบอำนาจ และกำลังกลายสภาพเป็น “รัฐบาลเป็ดง่อย” ซึ่ง “บริหารได้ แต่ปกครองไม่ได้” ประชาชนไม่ยอมรับ ไม่ไว้ใจ ถูกมองว่าไม่มีผลงานโดดเด่น มีแต่เรื่องทุจริตกับผลประโยชน์
มาวาระที่บ้านเมืองเผชิญวิกฤตความขัดแย้งเพราะลุงตู่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นปัญหา ทำให้เกิดสภาวะติดล็อก จึงมีเสียงเรียกร้องให้ลุงตู่เสียสละตัวเองด้วยการลาออก เปิดโอกาสให้บ้านเมืองได้มีทางออกจากความเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้า
ทั้งยังมองว่าลุงตู่ควรรักชาติให้น้อยลงหน่อย เปิดโอกาสให้คนอื่นแสดงความรักชาติบ้าง เพราะถ้าขืนอยู่ต่อไปโดยประชาชนไม่ยอมรับ มีแต่ความขัดแย้ง ใครจะรับผิดชอบกับความเสียหายทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และภาคส่วนอื่นๆ
ถึงวันนั้น ถ้าลุงตู่จะถาม “ผมทำอะไรผิด” คำตอบคงไม่ไพเราะรื่นหูแน่ๆ