เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาจากอารมณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุม ณ เวลานี้ เชื่อว่า เริ่มอยู่ในอาการสงบลงเรื่อยๆ หลังจากขึ้นสู่จุดพีก เมื่อราววันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งกลุ่มม็อบที่เรียกชื่อใหม่ว่า “กลุ่มคณะราษฎร 63” นัดชุมนุมใหญ่ และถัดมามีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และมีการสลายการชุมนุม เมื่อตอนรุ่งสาง วันที่ 15 ตุลาคม และในตอนค่ำวันเดียวกันที่แยกราชประสงค์ หลังจากมีการย้ายสถานที่และมีแกนนำบางคนถูกจับกุมไปก่อนหน้านั้น
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นาทีนี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มีการ “ปรับท่าทีใหม่” หลังจากการตัดสินใจสลายการชุมนุม ทั้งที่บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล และที่แยกราชประสงค์ ต่อเนื่องแยกปทุมวัน แม้ว่าหากจะว่าไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงมากเกินไปนัก เมื่อเทียบกับรัฐบาลชุดก่อนๆ
แรงสุดก็เพียงแค่ฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมีเจือสี ซึ่งมีการยืนยันว่าทำตามหลักสากล อ้างว่า เป็นการฉีดเพื่อให้โดนตัวเป็นการผลักดันผู้ชุมนุม และการพิสูจน์ตัวผู้เข้าร่วมชุมนุม ยังไม่มีการใช้กระสุนยาง หรือแก๊สน้ำตา เหมือนกับยุครัฐบาลก่อนหน้านี้ที่ใช้สลายการชุมนุมอย่างรุนแรง และที่สำคัญก็คือ ยังไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงหรือล้มตายสักคนเดียว
แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์จากบรรดานักสันติวิธี นักสิทธิมนุษยชน นักการเมืองฝ่ายค้าน ที่ผสมโรงหาประโยชน์ทางการเมืองจากผู้ชุมนุม และคนในสังคมไม่น้อย ที่มองว่าเป็นการใช้ความรุนแรง และทำให้เกิดแรงกดดันเข้าใส่รัฐบาลเพิ่มขึ้นไม่น้อย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากอารมณ์ของชาวบ้านทั่วไป ที่ยังรักสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวนมาก ที่แม้ว่า “ยังเงียบ” แต่เงียบแบบอารมณ์ “คุกรุ่น” อยู่ตลอดเวลากับพฤติกรรม และคำพูดของบรรดาแกนนำทั้งพวกเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่มีการ “จาบจ้วง” สถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากกรณีนี้ ทำให้เกิดแรงกดดันให้รัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หลังจากเกิดเหตุการณ์ล้อม ขัดขวางขบวนเสด็จ สมเด็จพระราชินี เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่ผ่านมา และนำไปสู่การจับกุมแกนนำสำคัญอย่างต่อเนื่อง และมีการคัดค้านการประกันตัว
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ บรรยากาศการชุมนุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่มีการใช้สื่อโซเชียลนัดชุมนุมกันในหลายจุดสำคัญในกรุงเทพมหานคร เนื้อหาในการพูดส่วนใหญ่ได้ลดโทนลงมา มีการพูดพาดพิง หรือพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์น้อยลงมาก หรือแทบไม่ได้พูดถึงเลย แต่พุ่งเป้าเน้นไปที่ ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหลัก ซึ่งสาเหตุอาจเป็นเพราะแกนนำที่เคยวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ อย่างรุนแรงได้ถูกจับกุมไปแล้วก็เป็นได้ หรือไม่ก็เป็นการปรับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อสร้างแนวร่วม
ขณะเดียวกัน เมื่อสำรวจท่าทีล่าสุดจากฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เหมือนกับว่า “ปรับท่าทีใหม่” โดยสังเกตจากการชุมนุม เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ก็ไม่ปรากฏว่า มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขัดขวาง หรือวางกำลังในพื้นที่การชุมนุมแต่อย่างใด มีเพียงตำรวจจราจรที่มาอำนวยความสะดวกด้านจราจรไม่กี่นายเท่านั้น
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ จะมีการทยอยจับกุมแกนนำที่เหลือที่มีการออกหมายจับเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่า จะสามารถลดการปลุกระดมมวลชนได้มากขึ้น เนื่องจาก “ม็อบขาดแกนนำ” ทำให้การชุมนุมไร้ทิศทาง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุวุ่นวายจากมือที่สาม
ขณะเดียวกัน ก็มีสัญญาณตอบรับการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมือง ซึ่งทางนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้ทำหน้าที่ประสานพรรคฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายรัฐบาล หารือกัน โดยเขาบอกว่า จะนัดประชุมหัวหน้าพรรคทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านใน วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคมนี้ และคาดหวังว่า จะเปิดประชุมได้ในราววันที่ 23 ตุลาคมนี้
อีกทั้งเมื่อดูจากสัญญาณแล้วยังเชื่อว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในสมัยประชุมสามัญ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป น่าจะไฟเขียวให้แก้ไขมาตรา 256 นำไปสู่การแก้ไขทั้งฉบับ น่าจะลดแรงกดดันลงไปได้มาก และปิดเงื่อนไขการชุมนุม และล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็แสดงท่าทีผ่านทางโฆษกรัฐบาล นายอนุชา บุรพชัยศรี ย้ำว่า การชุมนุมเป็นสิทธิ์ทำได้ แต่อย่าละเมิดกฎหมาย
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสัญญาณเท่าที่จับได้ในเวลานี้ ถือว่ามีการปรับท่าทีและยุทธวิธีกันทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่แม้ว่าจะย้ำบังคับใช้กฎหมายตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่จะผ่อนปรนในการใช้กำลังเข้าขัดขวาง โดยเหมือนกับปล่อยให้ชุมนุม เนื่องจากเห็นว่าไม่ปักหลักพักค้าง อีกทั้งแกนนำคนสำคัญ ก็ทยอยถูกจับกุมไปเกือบหมดแล้ว ทำให้เชื่อว่า หลังจากนี้ จะเข้าสู่การเจรจาระหว่างพวกนักการเมืองที่เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากนี้ไป รวมไปถึงได้เห็นสัญญาณแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อลดแรงกดดัน และสมประโยชน์ของพรรคการเมือง ซึ่งบรรยากาศนับจากนี้น่าจะเลยจุดพีก แต่จะลากยาว !!