6 อดีต กสม.อัดรัฐใช้อำนาจเกินเลยสลายชุมนุม ปล่อย ปชช.เห็นต่างเผชิญหน้า ซ้ำสร้างสถานการณ์ให้สถาบันฯ ขัดแย้ง ปชช. จี้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ปล่อยแกนนำ เคารพสิทธิชุมนุม เปิดการเจรจาแก้ปัญหาทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
วันนี้ (16 ต.ค.) อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 6 คน ประกอบด้วย นายวสันต์ พานิช, นางสุนี ไชยรส, น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง, นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ, นางเตือนใจ ดีเทศน์, นางอังคณา นีละไพจิตร ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง โดยระบุว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกโดยการชุมนุมอย่างสงบของประชาชน เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุติการคุกคามประชาชน รวมถึงปฏิรูปการศึกษา และกระบวนการยุติธรรม ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ นับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 63 จนถึงปัจจุบันบนพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับรองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ล่าสุดได้มีการประกาศการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชนที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” ระหว่างวันที่ 13-15 ต.ค. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการชุมนุมดังกล่าวได้ยุติในช่วงเช้ามืดของวันที่ 15 ต.ค. และได้มีการนัดชุมนุมต่อในเวลา 16.00 น. ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ในวันเดียวกัน
ในขณะที่รัฐบาลได้สลายการชุมนุมโดยสงบของประชาชน และจับกุมควบคุมตัวแกนนำเมื่อวันที่ 13 ต.ค. อีกทั้งต่อมาเมื่อวันที่ 15 ต.ค. เวลา 04.00 น. รัฐบาลได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 5 และมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2543 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร พวกตนมีความกังวลและห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความเปราะบาง โดยเห็นว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงของรัฐบาลขาดความชอบธรรม เนื่องจากการชุมนุมของประชาชนยังไม่มีแนวโน้มอันจะนำไปสู่การก่อให้เกิดความรุนแรง
“การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงจึงเป็นการละเมิดสิทธิการชุมนุมอย่างสงบสันติของประชาชน สร้างความหวาดกลัว และเป็นการใช้อำนาจเกินเลยเพื่อสลายการชุมนุม และปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ปล่อยให้มีการเผชิญหน้ากันของกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันอันอาจนำพาไปสู่การใช้ความรุนแรงระหว่างประชาชนกับประชาชน อีกทั้งเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้สถาบันกษัตริย์ขัดแย้งกับประชาชน ซึ่งการกระทำของรัฐบาลนอกจากไม่ช่วยคลี่คลายหรือลดความรุนแรงแล้ว ยังเป็นการขยายขอบเขตความขัดแย้งให้บานปลายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาล 1. ยกเลิกประกาศสถานการณ์ที่มีความฉุกเฉินร้ายแรง ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลสามารถแก้ไขได้โดยใช้กฎหมายปกติ 2. ปล่อยแกนนำทุกคนที่ถูกควบคุมตัว และเปิดให้มีการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาโดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจริงใจในการหาทางออกจากวิกฤติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี 3. รัฐบาลควรปฏิบัติตามความเห็นทั่วไปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนประจำกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (CCPR) ฉบับที่ 37 ตามข้อบทที่ 21 สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ขององค์การสหประชาชาติ มาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยรัฐต้องเคารพและประกันสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ และมีหน้าที่ที่จะต้องไม่ห้าม จำกัด ขัดขวาง สลาย หรือรบกวนการชุมนุมโดยสงบโดยปราศจากเหตุอันควร และจะต้องไม่ลงโทษผู้เข้าร่วมการชุมนุม หรือผู้จัดการชุมนุมโดยปราศจากเหตุที่ชอบธรรมตามกฎหมาย
4. กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องจับกุม ควบคุมตัวประชาชนที่ใช้ความรุนแรงรัฐบาลต้องคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับกุม ทั้งสิทธิในการพบญาติ ทนายความ รวมถึงผู้ซึ่งผู้ถูกควบคุมตัวไว้วางใจ และหากผู้ถูกควบคุมตัวเป็นเด็กหรือเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามหลักความยุติธรรมสำหรับเด็กอย่างเคร่งครัด โดยให้มีสหวิชาชีพร่วมในการสืบสวนสอบสวนทุกครั้ง ทั้งนี้สิทธิการชุมนุมโดยสงบนั้นมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกได้อย่างอิสระและเปิดเผย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐจึงควรแก้ไขปัญหาขัดแย้งทางการเมืองโดยยึดแนวทางรัฐศาสตร์มากกว่าการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ควรมีความอดทน อดกลั้นและยืดหยุ่นเพื่อหาทางออกร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำความสงบสันติคืนสู่สังคมไทย