ตามหาความจริง! ยิงเลเซอร์ทุกจุดสัญลักษณ์ รำลึกเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) 10 พฤษภาคม 2563
ตอนแรกควานหากัน ฝีมือคนทำคือใคร ?? ก่อนที่“ช่อ”พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้าจะออกมายอมรับว่า เป็นฝีมือพวกเขาเอง
อ้างว่าไม่ได้ทำในช่วงเคอร์ฟิว และไม่ได้ทำให้อะไรเสียหาย เพราะเป็นเพียงเลเซอร์ ขณะที่แฮชแท็กในทวิตเตอร์ #ตามหาความจริง มาแรงล้อกระแสแสงเลเซอร์
งานนี้ไม่ได้ทำเพราะต้องการตามหาความจริง แต่มีจุดมุ่งหมายเหนือกว่านั้นคือปล่อยแสงเปิดศึก"สตาร์วอร์" โค่นล้มรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
ตอนนี้ “คณะก้าวหน้า”กลับมาโหมกระแสอีกครั้ง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศเริ่มบางเบาลง
เพียงแต่ว่า ช่วงนี้ไม่มี“เงื่อนไข”ให้เล่น ไม่มีอะไรที่ปลุกเร้าอารมณ์ร่วมมวลชน เลยเลือกเอาการรำลึกเหตุการณ์ 10 พฤษภาคม 2553 ที่วนมาครบ 10 ปี มาเป็นอีเวนต์ยั่วน้ำลายมวลชน
จะเห็นว่าก่อนหน้านี้ “คณะก้าวหน้า”พยายามควานหา “เงื่อนไข”มาตลอด เรียกว่าจับทุกงาน ทุกประเด็น แต่แป้ก ไม่มีคนเคลิ้ม
โดยเฉพาะ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" แกนนำคณะก้าวหน้า ที่พยายามพูดเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ยกเอาปฏิวัติฝรั่งเศสออกมาฉายในช่วงนี้ หวังปลุกคนแล้วต่อเนื่องมาถึงคิวยิงเลเซอร์ใส่สถานที่สำคัญ
การออกมายอมรับว่าเป็นฝีมือตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับการเรียกแขกอย่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงให้เข้าไปจับกุมตัว ในอารมณ์เหมือนจงใจให้ถูกดำเนินคดี เพื่อจะมีเรื่องให้เล่นขยายต่อ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันไม่หลงเกมกระโดดลงบ่อที่คณะก้าวหน้าขุดล่อ
คิวนี้ส่อแววจะแป้กอีกครั้ง เอาไปประเด็นปลุกเร้าในการก่อม็อบหลังโควิด-19 ซาไม่ได้ เพราะมวลชนหลายคนเริ่มไม่อิน ที่สำคัญมันมองเห็นว่าคณะก้าวหน้าไม่ได้หวังจุดช่วยค้นหาความจริงในเรื่องนี้แต่อย่างใด แต่ต้องการ
หากินกับศพ เท่านั้น!!
เพราะถ้ามองย้อนไปตั้งแต่วันที่พรรคอนาคตใหม่ปรากฏตัว ไม่เคยพูดถึงเรื่องเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มนปช. หน้ำซ้ำที่ผ่านมาพยายามบอกว่าตัวเองเป็นสีส้ม เป็นคนรุ่นใหม่ ไม่ได้เป็นสีแดงที่เคยเคลี่อนไหวในอดีต
ที่สำคัญ หัวหน้าแก๊งสีส้มอย่าง “ไพร่หมื่นล้าน”ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยย้ำหลายครั้งว่า เขาไม่ได้อยู่ใต้บังคับบัญชาของ"ทักษิณ ชินวัตร" และเมื่อครั้งไต่สวนคดีถือหุ้นสื่อวี-ลัค มีเดีย จำกัด เคยพูดต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญว่า ตัวเองเป็นนักธุรกิจที่ตั้งใจมาทำงานการเมืองเพื่อประชาชน
จะไม่เป็นเหมือนที่ทักษิณเคยทำ จนถูกพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงออกมารุมด่าว่า เหยียบบ่าเพื่อนให้ตัวเองดูดี กระทั่งภายหลังต้องรีบขอโทษขอโพยที่ไปเอาชื่อทักษิณมาเสริมบารมี
"ธนาธร"อาจเคยร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงก็จริง แต่ไม่ได้เป็นแกนนำเบื้องหน้าที่ร่วมต่อสู้ อีกทั้งภายหลังเข้ามาทำการเมือง พยายามยกระดับให้พรรคอนาคตใหม่ และแฟนคลับพรรคสีส้ม ดูสูงส่งกว่าคนเสื้อแดงอยู่เสมอ
ช่วงที่มีการตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ชุด"คณิต ณ นคร" หรือการค้นหาความจริงในชุดอื่นๆ ธนาธรและผองเพื่อนก้าวหน้าแทบไม่เคยร้องแรกแหกกระเชอให้กับคนตายและบาดเจ็บเลย ยกเว้นเรื่องที่จะทำให้ตัวเองได้ประโยชน์
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงไม่อินที่พวกเขาเพิ่งลุกขึ้นมาปกป้อง ทั้งที่เวลาผ่านล่วงเลยมาแล้ว กระทั่งตัวเองต้องการจะปลุกม็อบถึงค่อยหันมาสนใจ
แกนนำคนเสื้อแดงหลายคน รวมถึงแกนนำพรรคเพื่อไทยดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก เพราะการที่“คณะก้าวหน้า”หยิบประเด็นนี้ ไม่ต่างอะไรกับการ “ตกปลาในบ่อเพื่อน”คิดจะมาชุบมือเปิบจากคนที่ร่วมต่อสู้กันมา
ขณะที่การเลือกเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และ 10 พฤษภาคม 2553 หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 เป็นเพียงการเลือกหยิบบางเหตุการณ์เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายตัวเองเท่านั้น
"คณะก้าวหน้า"พยายามเลือกเหตุการณ์ที่ตรงกับจุดยืนตนเอง เช่น พฤษภาคม 2535 และ 10 พฤษภาคม 2553 เพราะมีภาพของทหารที่สลายการชุมนุมของมวลชน เพื่อให้คับแค้นใจ“ทหาร”
แต่กลับมองข้ามหลายเหตุการณ์ที่ประชาชนถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายเหมือนกัน ทั้งการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ที่มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายไม่น้อยไปกว่ากัน แถมเจ้าหน้าที่บางคนยังหลุดรอดคดีไปได้
หรือเหตุการณ์ลอบวางระเบิดและทำร้ายผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. ในช่วงปี 2556 และปี 2557 ที่บัดนี้จับคนร้ายได้แค่บางรายเท่านั้น
มันจึงตอกย้ำให้เห็นว่า ภายใต้การตามหาความจริง ด้วยการเริ่มยิงเลเซอร์ สุดท้ายแล้วคณะก้าวหน้าไม่ได้หวังจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนเหล่านี้ หากแต่ต้องการขุดเรื่องนี้มาสร้างความคับแค้นใจเท่านั้น เพียงแต่ว่า มันดูไม่จริงใจ มีผลประโยชน์แอบแฝง
ยิ่งตอนนี้แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามหาตัวผู้กระทำผิด แต่ก็เท่าทันเกมว่าการลุยบุกไปจับแกนนำคณะก้าวหน้า เท่ากับเดินตามเกมที่พวกเขากำหนด การตั้งข้อหาดำเนินคดีเป็นสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการให้เกิด เพื่อสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้น
แต่เมื่อไม่เข้าไปจับกุม ทุกอย่างเลยไม่มีทางเดินต่อ สุดท้ายเรื่องนี้มันจะฝ่อไปเอง โดยไม่ต้องมีใครไปทำอะไร
ซึ่งครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่สะท้อนให้เห็นถึงความกระเหี้ยนกระหือรือของคณะก้าวหน้าอย่างมาก กระโดดงับทุกเรื่องที่จะสร้างความปั่นป่วนได้ เพียงแต่อีกมุมหนึ่งมันก็ฉายให้เห็นว่า
พวกเขาไม่ได้มีจุดยืนหรืออุดมการณ์อะไรเลย พร้อมทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย