“ดร.นิว” หยัน “คณะก้าวหน้า” ตีกินบาดแผลคนอื่น สร้างความรุนแรงครั้งใหม่ ชี้ประเด็น บังเอิญไปมั้ย? ยิงเลเซอร์โจมตีกษัตริย์ในต่างประเทศ คล้าย “ค้นหาความจริง” “หมอวรงค์” จัดให้ความจริง “ยั่วยุ-มีกองกำลังชุดดำติดอาวุธ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (13 พ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “#คณะก้าวหน้ากำลังสร้างความรุนแรงครั้งใหม่ ด้วยบาดแผลของคนอื่น”
โดยระบุว่า “คณะก้าวหน้าตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ ไม่เคยทำอะไรนอกจากพยายามหลอกใช้คนที่รู้ไม่เท่าทันเป็นเครื่องมือทางการเมือง ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียเป็นอาวุธบิดเบือนความเป็นจริงราวกับเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ สร้างความเกลียดชังหวังให้เกิดความรุนแรงด้วยการปั่นกระแสในโลกโซเชียล
เพราะไม่มีความหมายในโลกแห่งความเป็นจริง ก็เลยต้องอาศัยโลกเสมือนจริงผ่านขบวนการปั่นกระแสความงมงายปลอมๆ ในโลกโซเชียล
ถ้าลองสังเกตดีๆ ในทวิตเตอร์จะชัดมากที่บ่อยครั้งจำนวนการรีทวิตในทวิตเตอร์ของเขา และเครือข่ายจะมากกว่าจำนวนการไลก์อย่างผิดสังเกต บางครั้งก็มากกว่าถึง 3-4 เท่าเลยทีเดียว นั่นแสดงว่า มีการปั่นกันสุดฤทธิ์
เพราะแม้แต่ทวิตเตอร์ของประธานาธิบดี ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ก็ยังต้องอายเลยที่ไม่สามารถทำอะไรได้แบบนี้ ดังนั้น ไม่ต้องถามเลยว่า ใครอยู่เบื้องหลังการปั่นกระแสเลวๆ ในทวิตเตอร์ของไทย
#มันจะบังเอิญอะไรขนาดนี้
หลังจากมีการใส่ร้ายป้ายสีสถาบันพระมหากษัตริย์ในต่างประเทศด้วยการฉายไฟเลเซอร์ พร้อมกับชุดความคิดเดิมๆ ที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายป้ายสีอย่างสุดแสนปัญญาอ่อน
ต่อมานายปิยบุตรก็ออกมาโจมตีใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเด็นต่างๆ ด้วยความบิดเบือนตามสไตล์ศาสดาคนโง่นักประดิษฐ์วาทกรรม ที่แม้รัฐประหารโควิดที่ตัวเองพูดไว้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับพกความด้านหน้าเกินร้อยออกมาดิ้นเฮือกสุดท้าย ปลุกระดมหลอกลวงคนโง่ต่อไปแบบไม่หยุดหย่อน
ตามด้วยการที่ช่อออกมาฉายไฟเลเซอร์ #ตามหาความจริง เพื่อยัดเยียดความเกลียดชังและความรุนแรงครั้งใหม่ให้กับสังคมไทย
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการขุดแผลและความเสียใจของพี่น้องคนไทยทั้งประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องกลุ่มคนเสื้อแดง
ไม่ว่ากลุ่มไหนๆ จริงๆ ก็มีทั้งคนดีและไม่ดี
ผมเชื่อว่า พี่น้องคนไทยทุกคนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2553 และบทเรียนในครั้งนั้นได้สอนให้เรารู้แล้วว่า ความเกลียดชังกับความรุนแรงไม่ได้นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาใดๆ หากแต่เป็นการสร้างปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น
กลับกันคณะก้าวหน้ากลับกำลังใช้ความขัดแย้งในอดีตเพื่อจุดชนวนความขัดแย้งและความรุนแรงในครั้งใหม่ 2563 อย่างน่ารังเกียจและสกปรกโสโครกที่สุด
นี่จึงเป็นปัญหาหลักของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่มีพวกผู้นำประชาธิปไตยจอมปลอมที่แอบอ้างประชาธิปไตยใส่ร้ายคนอื่น หลอกใช้มวลชนด้วยความเกลียดชังและความรุนแรงเป็นเครื่องมือแย่งชิงอำนาจไม่รู้จักจบจักสิ้น
ในขณะที่ฝ่ายประชาชนทุกฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ถูกต้อง เพราะประชาชนทุกฝ่ายล้วนเป็นคนดีและต้องการประชาธิปไตยด้วยความบริสุทธิ์ใจ
จะมีก็แต่ผู้นำการเคลื่อนไหวเท่านั้น ที่เป็นประชาธิปไตยจอมปลอมเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้ก็มีแต่คณะก้าวหน้าเท่านั้นที่กำลังหลอกใช้ผู้คนเป็นเครื่องมือตามแนวทางลัทธิซ้ายตกขอบหัวรุนแรง 2475 เพื่อแย่งชิงอำนาจด้วยการยัดเยียดความขัดแย้งและความรุนแรงให้กับสังคมไทย
จริงๆ แล้วผมเองก็เป็นมิตรกับคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย
จึงทำให้เข้าใจหัวอกของคนรากหญ้าคนเสื้อแดงมากมายที่เป็นคนดี และต้องการประชาธิปไตยเพื่อคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างทั่วถึงกันอันเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรม
อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้นว่า ผมเป็นพันธมิตรกับทุกคนทุกฝ่าย เพราะผมเชื่อในการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงด้วยวิธีการที่สันติ และความร่วมมือจากทุกองคาพยพของสังคมไทย
เว้นแต่พวกลัทธิซ้ายตกขอบหัวรุนแรงเพียงไม่กี่คนในคณะก้าวหน้า ที่เล่นการเมืองแบบสกปรก ที่เอาแต่คอยบิดเบือนปลุกระดมสร้างกระแสในโลกโซเชียล หลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองก่อความรุนแรงเท่านั้น ที่ผมมีปัญหาด้วยมาตลอด
ถ้าจะพูดถึงในแง่ของอุดมการณ์แล้ว อย่างน้อยที่สุดพี่น้องเสื้อแดงก็มีความจริงใจ และการเสียสละต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างมีศักดิ์ศรีมาอย่างยาวนาน
ต่างจากคณะก้าวหน้าที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ปั่นกระแสในโลกโซเชียล ในขณะที่ตัวเองนั่งตากแอร์เย็นสบายอยู่หน้าจอ บิดเบือนความเป็นจริง ล้างสมองคนอ่อนต่อโลก แล้วยัดเยียดความเกลียดชังและความรุนแรง นำไปสู่การหลอกใช้ผู้คนเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองครั้งใหม่ก็เท่านั้นเอง”
ขณะที่ เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โพสต์หัวข้อ “ความจริงที่ตามหา”
โดยมีเนื้อหาระบุว่า “นี่คือความจริงที่คณะก้าวไกลต้องการตามหา โดยเฉพาะเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 สามารถหาอ่านฉบับเต็มจากรายงานของ คอป.(คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ)
1. การปราศรัยมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ชี้นำ หรือส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง เช่น “พี่น้องไม่ต้องเตรียมอะไรมาก ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร รับรองว่า กทม.เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน” “เผาไปเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง” นอกจากนี้ การชุมนุมไม่ได้เป็นการชุมนุมอย่างสงบ แต่มีกองกำลังชุดดำติดอาวุธ
2. วันที่ 10 เมษา ที่สี่แยกคอกวัว และหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นพลเรือน 21 คน รวมสื่อต่างประเทศ คือ 1 คน ทหาร 5 คน บาดเจ็บรวมกว่า 864 คน ในจำนวนนี้เป็นทหารกว่า 300 คน พบหลักฐานว่ามีชายชุดดำใช้อาวุธสงครามปฏิบัติการ เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิตด้วย
3. มีหลักฐานว่าเสียชีวิตเพราะชายชุดดำ 9 คน แยกเป็นทหาร 6 คน ตำรวจ 2 คน และประชาชนกลุ่มคนรักสีลม 1 คน
4. การปฏิบัติการของชายชุดดำได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.บางคน
5. วันที่ 29 เม.ย. 53 มีการนำคนเสื้อแดงบุกเข้าตรวจค้นพื้นที่ โรงพยาบาลจุฬาฯ อ้างเป็นแหล่งซ่องสุมทหาร ขณะที่แกนนำเสื้อแดงอ้างการบุกค้นโรงพยาบาลไม่ใช่มติของแกนนำ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของคนนำพา
6. ไฟไหม้จากห้าง CEN แล้วลามไปยังห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งในระหว่างไฟไหม้นั้น มีผู้ชุมนุมอยู่ และทหารยังไม่ได้เข้าไป นี่คือความจริงบางส่วนของคณะกรรมการ คอป. ที่ได้รับการรับรองให้ทำหน้าที่ จากรัฐบาลยิ่งลักษณ์เพื่อแสวงหาความจริง
7. นอกจากนี้แล้ว ในปี 2552 ยังมีการบุกเข้าไปทำลายการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ต พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2552
8. ทราบหรือไม่ว่า การชุมนุมของ กปปส. ศูนย์เอราวัณ ได้สรุปยอดรวมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จากการชุมนุมทางการเมือง ทั้งสิ้นถึง 807 ราย มีบาดเจ็บ 782 ราย และเสียชีวิต 25 ราย แต่ไม่เคยมีแกนนำรายใด เอาผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตมาปลุกระดมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเลย
คณะก้าวไกลควรหยุดหลอกตัวเอง หยุดค้าความขัดแย้ง หยุดเคียดแค้น หยุดจมปลักกับอดีต หยุดความคิดที่จะให้วิถีไทยต้องไปตามตะวันตก หยุดการปลุกระดม เพราะทุกครั้งเมื่อมีการชุมนุม ไม่ว่าฝ่ายใด คนที่สูญเสียและเป็นเหยื่อมากที่สุด ไม่ใช่แกนนำ แต่เป็นประชาชน
#ความจริงที่ตามหา #หยุดเอาประชาชนมาเป็นเหยื่อ”
อย่างไรก็ตาม วานนี้ นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ออกมายอมรับว่า การยิงเลเซอร์เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของแคมเปญ “ค้นหาความจริง” เท่านั้น หลังจากนี้ จะมีการทยอยปล่อยข้อมูล และสารคดีต่างๆ ออกมา จะเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพฤษภาทมิฬ 35 และพฤษภา 53 โดยไฮไลต์จะมีการฉายหนังออนไลน์ 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-20 พฤษภาคมนี้ และในวันที่ 19 พฤษภาคม ก็จะมีการจัดเสวนาออนไลน์
ที่น่าคิดวิเคราะห์อย่างมาก ก็คือ การปูกระแส “บาดแผลของสังคม” สร้างความเกลียดชังรัฐบาลที่มาจากการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 53 และ ความไม่พอใจในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังเกิดขึ้น และหลังสถานการณ์โควิด-19 หลายคนเชื่อว่าจะทรุดหนักจนเป็นเงื่อนไขความโกรธแค้นรัฐบาลได้เลยทีเดียว นับว่าน่ากลัว
ยิ่งกว่านั้น สัญญาณหลายอย่างที่จับได้จากกลุ่มเครือข่ายเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาล ก็คือ การสร้าง “เงื่อนไข” ผูกเป็นเงื่อนปมเอาไว้ เพื่อปะติดปะต่อ โจมตีรัฐบาล เมื่อสถานการณ์สุกงอมมาถึง
ยิ่งเป็นคนที่มีแนวคิดปฏิวัติโครงสร้างอำนาจด้วยแล้ว เหยื่ออันโอชะ ก็คือ คนรุ่นใหม่ ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ชาติ วัฒนธรรมดั้งเดิม เป็นทุนอยู่แล้ว ก็จะยิ่งเห่อเหิมหลงเชื่อได้ง่าย อย่างนักเรียน นิสิต นักศึกษา กรณี “แฟลชม็อบ” ที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างได้ดี
แล้วที่สำคัญ คนกลุ่มนี้ อ.แก้วสรร เคยกล่าวว่า พวกเขายึดมั่นแค่ว่า “ความพยายามเป็นของคน ความสำเร็จเป็นของกงล้อประวัติศาสตร์” เพราะฉะนั้น การต่อสู้ เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ “ประวัติศาสตร์” จะต้องบันทึก อย่างนี้ประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่เชื่อก็ลองดู