ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ชี้ชะตาการบินไทยอยู่หรือไป? ให้รัฐอัดเงินอุ้มต้องมีแผนชัด “ศักดิ์สยาม” ชี้มี 23 ข้อเสี่ยงต้องแก้ ยอมไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ถ้าไม่ตอบโจทย์อาจมีสิทธิ์เข้าสู่กระบวนการศาล
เรื่องแผนฟื้นฟู “การบินไทย” จ่อๆจะเข้า ครม.มา 2 รอบ เมื่อวานนี้ก็ยังไม่ถูกเสนอเข้า ครม. ถึงกระนั้นมีมือดีจับไปเป็นประเด็น “ปล่อยข่าวลือ” หวังดิสเครดิตทางการเมือง โดยอ้างว่า ครม.เสียงข้างมากเห็นควรให้ปล่อยการบินไทย “ล้มละลาย” โดยมีเพียง 2 เสียง คือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี และ “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง ที่ยังหนุนให้อุ้ม
ขอย้ำว่า เป็น “ข่าวลือ” ที่ปล่อยข่าวมั่วมาผสมโรงไปกับกระแสสังคมที่จับตา วิพากษ์วิจารณ์กรณีรัฐบาลกำลังพิจารณาจะใช้เงิน “5 หมื่นกว่าล้าน” อุ้มการบินไทยกันสนั่นโซเชียลฯ
เบื้องหลังเรื่องนี้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บอกว่าที่ไม่เข้า ครม.เพราะยังไม่พร้อมและได้ขอให้คนการบินไทยต้องร่วมมือร่วมใจทำตามแผนฟื้นฟูฯ หากไม่อยากให้คนนับหมื่นต้องสูญเสียอาชีพไป
ขณะที่ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม บอกว่าถ้าแผนการบินไทยไม่ชัดเจน หากต้องตัดสินใจสิ่งที่ทำแล้วจะเป็นภาระกับรัฐบาลและประชาชน ก็ไม่ทำ
นี่คือเหตุผลเบื้องหลังจริงๆ ที่ยังไม่สามารถเสนอ ครม.ได้
สถานะของการบินไทยเวลานี้จึงขึ้นอยู่กับแผนฟื้นฟู ว่าจะออกมาอย่างไร
ความไม่พร้อมที่จะเข้า ครม. ถ้าดูแผนฟื้นฟูที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ในความเห็นของ “ศักดิ์สยาม” เป็นเพียงกรอบใหญ่ 7-9 เรื่องที่ยังไม่มีรายละเอียด เช่น แผนบริหารหนี้ แผนรายได้ แผนรายจ่าย และต้องมีเงื่อนไขผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามาพิจารณาร่วมด้วย
การบินไทยจำเป็นต้องจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ทำรายละเอียดเพิ่มเติมว่าจะทำอะไร ทำอย่างไร และมีผลเป็นอย่างไร
ในแผนฟื้นฟูยังระบุว่า “มีความเสี่ยง 23 เรื่อง” ซึ่งศักดิ์สยามยอมรับว่าหากยังมีความเสี่ยงอยู่ แม้เพียงเรื่องเดียวก็ไม่ได้ ดังนั้นการบินไทยต้องไปคิดให้รอบคอบ
วันนี้ต้องพิจารณาปัญหาของการบินไทยด้วยใจที่ปราศจากอคติ และดูว่าอะไรเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้การบินไทยกลับมาแข็งแรง และเปรียบเทียบกับสายการบินอื่นๆ ที่มีปัญหาเหมือนการบินไทยว่ามีการดำเนินงานอย่างไร เพราะหากในอดีตเคยดำเนินการไปแล้วแต่ไม่ได้ผลแล้วจะทำแบบเดิมๆ อีกคงไม่ได้ แผนฟื้นฟูนี้ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน
เรียกว่า ถ้ารัฐบาลจะต้องใส่เงิน 5 หมื่นกว่าล้านบาท แน่นอนว่านอกจาก Action Plan ต้องชัดเจน แผนบริหารหนี้จะเจรจาเจ้าหนี้อย่างไร แฮร์คัตกันอย่างไร รายจ่ายจะลดอย่างไร ส่วนอื่นๆ ที่เป็นคำถามที่จะทำให้ธุรกิจอยู่ต่อได้และแข่งขันได้ ก็ต้องตอบสังคมได้
มาถึงวันนี้ ดูเหมือนสายการบินทั่วโลกเจอปัญหาจากผลกระทบโควิด-19 และทางเลือกส่วนใหญ่คือการเดินเข้าสู่กระบวนการขอล้มละลาย และตอนนี้ปัญหาการบินไทยก็ถูกพูดถึงการล้มละลายเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ ถ้ารัฐบาลปฏิเสธจะอุ้มขึ้นมาจริงๆ
นั่นก็ต้องดูว่า หากการบินไทยไม่สามารถทำรายละเอียดของแผนฟื้นฟูได้ หรือแผนยังมีความเสี่ยงอยู่ตามความเห็นของ รมว.คมนาคมที่ว่ามา ก็จำเป็นที่ต้องหาแนวทางแบบอื่น ซึ่งก่อนจะไปถึงขั้นยื่นศาลเข้ามากำกับกิจการ อาจไม่ถึงขั้นยื่นล้มละลายแต่สามารถยื่นเรื่องตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟู
เดือน พ.ค.นี้จะเป็นช่วงชี้ชะตาของการบินไทย Action Plan ต้องเสร็จ และยังต้องขึ้นอยู่กับ ครม.จะเห็นด้วยหรือไม่!
โจทย์ใหญ่ซึ่งรัฐบาลคงได้รับรู้จากกระแสโซเชียลฯ ไปแล้วว่าการนำเงินภาษีอากรไปใช้จำนวนมากๆ อุ้มการบินไทยในขณะที่ประเทศมีความจำเป็นในการใช้งบประมาณในการป้องกัน เยียวยา ฟื้นฟู จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นั้น เรื่องไหนสำคัญกว่ากัน
เรื่องนี้ ห้ามกะพริบตา ชะตากรรมของการบินไทย สายการบินที่เคยเชิดหน้าชูตา เป็นสายการบินแห่งชาติจะลงเอยอย่างไร ..ต้องติดตาม
** “คณะก้าวหน้า-นปช.” ผนึกกำลังสร้างกระแสรำลึกเดือนพฤษภา ยิงเลเซอร์ “ตามหาความจริง” เปิดหน้าท้าทาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เขย่ารัฐบาลลุงตู่
กรณีมีผู้ยิงแสงเลเซอร์ ข้อความ “ตามหาความจริง” ในสถานที่เชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 53 อย่างเช่น ที่วัดปทุมวนาราม สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กระทรวงกลาโหม ... ความคิดแว่บแรกที่ต้องนึกถึงคือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” คงพยายามสร้างกระแสรำลึกถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มนปช. และคนเสื้อแดง ในเดือนพฤษภาคม 53 ซึ่งพอดีครบรอบ 10 ปีในเดือนนี้
และยิ่งชัดขึ้น เมื่อสอดรับกับการโพสต์เฟซบุ๊กของ “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ที่บอกว่ามีแนวคิดจะจัดงานใหญ่รำลึก 10 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. “เมษา-พฤษภา 53” แต่บังเอิญช่วงเดือนเมษาฯ ติดขัดที่สถานการณ์โควิด-19 กำลังระบาด จึงต้องพักไว้ก่อน มาถึงเดือนนี้สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายจึงจะจัดกิจกรรม “ชุมนุมออนไลน์” เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.เป็นต้นไป โดยจะเชิญบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ และแนวร่วม มาร่วมกันเขียนบทความรำลึกเหตุการณ์ เผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก “เพจยูดีดีนิวส์”
บุคคลที่ได้รับเกียรติมาร่วมเขียนบทความ อาทิ จาตุรนต์ ฉายแสง...ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ...นิธิ เอียวศรีวงศ์...ชาญวิทย์ เกษตรศิริ...คำ ผกา...เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล...พริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือเพนกวิน เป็นต้น
ขณะที่ “ตุ๊ดตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ก็โพสต์ถึงเรื่องยิงเลเซอร์ “ตามหาความจริง” ที่ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมาให้ข่าวว่ามีการทำเป็นขบวนการ เป็นการกระทำไม่เหมาะสม ต้องใช้กฎหมายเอาผิดว่า นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงอาการ “ดิ้น” ของฝ่ายทหาร และถ้ายิ่งดิ้นมาก ความขัดแย้งต่างๆ ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะความตายผ่านการไต่สวนสำนวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญา และศาลอาญากรุงเทพใต้นั้นระบุไว้ชัดเจนว่า ความตายเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
และเรื่องนี้ก็ไปสอดคล้องกับข้อความในทวิตเตอร์ของ “คณะก้าวหน้า - Progressive Movement” ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - ปิยบุตร แสงกนกกุล - พรรณิการ์ วานิช” ใช้เป็นฐานในการเคลื่อนไหวหลังถูกยุบพรรค ตัดสิทธิทาางการเมือง ได้ทวีตข้อความว่า ... “ความจริง อาจทำให้บางคนไม่สบายใจ คุณเลยต้องไล่จับความจริงกันวุ่นวายไปหมด แต่ “ความจริง” ก็ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากคำลวงของคุณ เราไม่ตกเป็นทาสของคุณอีกแล้ว ร่วม #ตามหาความจริง ไปพร้อมกันที่เพจคณะก้าวหน้า 12-20 พ.ค. # ความจริงต้องปรากฏ”
เช่นเดียวกับเฟซบุ๊ก “คณะก้าวหน้า - Progressive Movement” ก็โพสต์ข้อความว่า “พฤษภา 35|53 ความจริงต้องปรากฏ ถีบลงเขา-เผาลงถังแดง 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภา ’35, พฤษภา ’53 กี่ครั้งที่ประชาชนมือเปล่า ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น กี่ครั้งที่ผู้ฆ่า และผู้สั่งฆ่า ไม่เพียงไม่ต้องรับโทษ แต่ยังเติบใหญ่ในเส้นทางอำนาจ ทุกครั้งความจริงถูกทำให้เลือนหาย ความยุติธรรมไม่เคยมาถึง...
...พอกันทีกับการที่ขอเพียงมีอำนาจล้นฟ้าจะลงมือฆ่าคนเป็นร้อยก็ไม่ผิด ฝากไปถึงผู้มีอำนาจว่าไม่ต้องตามหาให้เหนื่อยแรงอีกต่อไป ว่าใครคือคนที่ฉายแสงสว่างส่องหาความจริง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือพวกเรา “ประชาชน” คนธรรมดาที่กำลังร่วมกัน #ตามหาความจริง”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ ประกาศว่า การฉายภาพกลางกรุงพร้อมข้อความ “ตามหาความจริง” เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น พร้อมทั้งเชิญชวนให้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก คณะก้าวหน้า ระหว่างวันที่ 12-20 พ.ค.นี้ด้วย
ก็เป็นที่ชัดเจนว่า “กลุ่มคน” หรือ “ขบวนการ” ที่อยู่เบื้อหลังแสงเลเซอร์ ก็คือ “กลุ่ม นปช.-คณะก้าวหน้า” ที่ผนึกกำลังออกมาปลุกกระแสเดือนพฤษภาคม เขย่ารัฐบาลลุงตู่
เมื่อเรื่องนี้เป็นกระแสร้อนในโซเชียลฯ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ก็อยู่เฉยไม่ได้ จึงเรียกประชุมทีมงานทันที เพราะเห็นว่าอาจเป็นชนวนก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงของคนในชาติ และได้ให้ฝ่ายกฎหมายไปดูว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ...ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ การยุยง ปลุกปั่น ล้วนอยู่ในเกณฑ์การพิจารณา ส่วนตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลก็มีข้อมูลอยู่แล้ว โดยเฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่อาศัยเดือนพฤษภาคมเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังมีกลุ่มบุคคลที่ออกมากล่าวอ้างและยอมรับถึงพฤติกรรมการกระทำนั้น หลังจากนี้ก็ต้องหาพยานหลักฐานอื่นๆ ให้เพียงพอ ก่อนจะเรียกมาให้ปากคำ
แม้ว่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะบอกเพียงว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคง กระทำการแบบนี้ในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมที่จะนำหลายๆ เรื่องมาพัวพันกับสถานการณ์โควิด-19
ต้องไม่ลืมว่า ช่วงนี้ยังอยู่ระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่ง “ลุงตู่” ได้ออกมาบอกแล้วว่า ไม่ได้สั่งให้ กอ.รมน. ทำโพลถามความเห็นประชาชนว่าควรคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ก่อน หรือยกเลิก แต่ก็ได้บอกเป็นนัยว่า มีสื่อบางสำนักได้ทำโพลออกมาแล้ว ปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่าง 88% เห็นควรให้ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก มีเพียง 12% เท่านั้นที่อยากให้ยกเลิก...
จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่า การปลุกกระแสเดือนพฤษภา ท่ามกลาง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะจุดติดหรือไม่!!