ผู้จัดการรายวัน360- "บิ๊กป้อม" ให้เจ้าหน้าที่ดูข้อกฎหมายเอาผิดกรณีมีผู้ยิงแสงเลเซอร์ "ตามหาความจริง" นายกฯ มอบฝ่ายความมั่นคงดูแล ด้าน"บิ๊กแป๊ะ"เรียกประชุมด่วน ล่ามือยิงเลเซอร์ มอบหมาย บก.สส. บช.น.เป็นแม่งาน "รองสุวัฒน์" แย้มมีข้อมูลผู้ก่อเหตุแล้ว ด้าน “ช่อ-พรรณิการ์” รับคณะก้าวหน้าเป็นผู้ริเริ่ม พร้อมท้าให้มาดำเนินคดี หากทำผิดกฎหมาย
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีคณะก้าวหน้าโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุคนยิงแสงเลเซอร์ ตามหาความจริง คือประชาชน หลังมีการยิงเลเซอร์ข้อความ #ตามหาความจริง เมื่อคืนวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ในสถานที่เชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง ปี 53 เช่น ที่วัดปทุมวนาราม รถไฟฟ้าบีทีเอส อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กระทรวงกลาโหม และ บางจุดมีการฉายภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพ.ค.53 ซึ่งการยิงเลเซอร์ข้อความดังกล่าว จะมีความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ ว่า เดี๋ยวเจ้าหน้าที่กำลังดูอยู่ เมื่อถามว่า เป็นลักษณะของการแสดงสัญลักษณ์ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบว่า ไม่ เมื่อถามว่ามีหลักฐานชัดเจนว่า เป็นการกระทำของคณะก้าวหน้าหรือไม่ รองนายกฯ ตอบว่า ยังไม่รู้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคง ตนคงไม่ตอบ ที่มีการกระทำการแบบนี้ ในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการที่จะนำในหลายๆ เรื่องมาพัวพันกับสถานการณ์โควิด-19
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.เมธี รักพันธ์ ผบก.น.6 เข้าร่วมประชุมด้วย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวก่อนเข้าประชุมว่า ฝากไปยังกลุ่มผู้ที่ก่อเหตุ หากจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง อย่าทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างพิจารณาว่า การกระทำดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดใดบ้าง เบื้องต้นตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผบ.ตร. ได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน บช.น. เป็นแม่งานในการรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากการยิงเลเซอร์ดังกล่าว เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจนครบาล
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยให้ฝ่ายกฏหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดว่าเข้าข่ายความผิดใด ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้วโดยเฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่อาศัยเดือนพ.ค. เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหว
ส่วนที่มีบุคคลออกมากล่าวอ้าง และยอมรับเรื่องพฤติกรรมและการกระทำนั้น ทางตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบทั้งหมด แม้ว่าจะมีบางกลุ่มออกมาแสดงเจตจำนงว่าเป็นคนก่อเหตุ แต่ก็ต้องหาพยานหลักฐานอื่นๆ ให้เพียงพอจึงจะสามารถเรียกมาให้ปากคำได้ ตอนนี้ยังไม่มีการเรียกมาสอบปากคำแต่อย่างใด และกำลังดูว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังใช้เรื่องนี้มารณรงค์ให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้ เพื่อหวังผลอะไรหรือไม่
คณะก้าวหน้ารับเป็นมือยิงเลเซอร์
นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำพรรคก้าวหน้า กล่าวถึงแคมเปญพฤษภา 35/53 และ#ตามหาความจริง รวมถึงที่มีการยิงเลเซอร์ข้อความต่างๆ ตามสถานที่ราชการและสถานที่สาธารณะว่า เดือนพฤษภาคม เป็นเดือนที่สำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองในประเทศไทย มีการสังหารหมู่ประชาชนเกิดขึ้นถึง 2 ครั้งในเดือนนี้ คือ พฤษภาทมิฬปี 35 และการสลายการชุมนุมพฤษภาคมปี 53 ซึ่งก็ครบรอบ 10 ปีที่เกิดขึ้น ตั้งต้นอยากทำความจริงให้ปรากฏ เพราะคนรุ่นหลัง ส่วนน้อยอาจจะไม่ทราบ หรือไม่เข้าใจการเมืองในยุคก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นี่จะเป็นการคืนความยุติธรรมให้กับคนที่สูญเสีย นำตัวผู้กระทำความผิด มาสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งสิ่งนี้ถึงจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ของคนในสังคมได้ ทุกคนต้องรู้ความจริงคืออะไร นี่คือที่มาของแฮ็ชแท็กตามหาความจริง เราไม่ได้สถาปนาชุดความจริงขึ้นมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากที่มีการยิงเลเซอร์ข้อความต่างๆ ตามที่ต่างๆแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จ มีคนตามหาว่าคืออะไร มีคนแชร์ประสบการณ์ต่างๆมากมาย มีคนแชร์คลิปเก่าๆ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องผูกขาดโดยใคร
สำหรับ การยิงเลเซอร์เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของแคมเปญเท่านั้น หลังจากนี้จะมีการทยอยปล่อยข้อมูล และสารคดีต่างๆออกมา จะเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพฤษภาทมิฬ 35 และพฤษภา 53 โดยไฮไลท์ จะมีการฉายหนังออนไลน์ 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-20 พฤษภาคมนี้ และในวันที่ 19 พฤษภาคม ก็จะมีการจัดเสวนาออนไลน์
พร้อมกันนี้ นางสาวพรรณิการ์ กล่าวถึงคดีความที่อาจจะถูกดำเนินคดีได้ ว่า มีความกังวล ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปละเมิดประชาชน แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี ยังไม่สามารถบอกได้ว่าผิดข้อหาอะไร ส่วนตัวอยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าคณะก้าวหน้าเป็นคนคิดริเริ่มแคมเปญนี้ หากต้องการจะที่จะดำเนินคดีทางกฎหมาย ก็มาเอาผิดที่คณะ หากหาข้อหาเอาผิดได้และ ไม่มีอะไรที่จะต้องดิสเครดิตรัฐบาล สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือยอมรับความจริง ไม่เช่นนั้น ทุกคนจะเหมือนอยู่ในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ส่วนรูปแบบการฉายข้อความบนพนังอาคารนั้น เป็นรูปแบบที่ทั่วโลกทำในวงการศิลปะและโฆษณา รวมถึงการเรียกร้องทางการเมืองในหลายประเทศ โดยไม่ได้เป็นการเจาะจงหรือตั้งใจเชื่อมโยงกับการฉายข้อความในประเทศเยอรมันแต่อย่างใด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีคณะก้าวหน้าโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุคนยิงแสงเลเซอร์ ตามหาความจริง คือประชาชน หลังมีการยิงเลเซอร์ข้อความ #ตามหาความจริง เมื่อคืนวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ในสถานที่เชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง ปี 53 เช่น ที่วัดปทุมวนาราม รถไฟฟ้าบีทีเอส อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กระทรวงกลาโหม และ บางจุดมีการฉายภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพ.ค.53 ซึ่งการยิงเลเซอร์ข้อความดังกล่าว จะมีความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ ว่า เดี๋ยวเจ้าหน้าที่กำลังดูอยู่ เมื่อถามว่า เป็นลักษณะของการแสดงสัญลักษณ์ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบว่า ไม่ เมื่อถามว่ามีหลักฐานชัดเจนว่า เป็นการกระทำของคณะก้าวหน้าหรือไม่ รองนายกฯ ตอบว่า ยังไม่รู้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคง ตนคงไม่ตอบ ที่มีการกระทำการแบบนี้ ในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ในการที่จะนำในหลายๆ เรื่องมาพัวพันกับสถานการณ์โควิด-19
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.เมธี รักพันธ์ ผบก.น.6 เข้าร่วมประชุมด้วย
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวก่อนเข้าประชุมว่า ฝากไปยังกลุ่มผู้ที่ก่อเหตุ หากจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง อย่าทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างพิจารณาว่า การกระทำดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดใดบ้าง เบื้องต้นตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผบ.ตร. ได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน บช.น. เป็นแม่งานในการรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากการยิงเลเซอร์ดังกล่าว เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจนครบาล
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยให้ฝ่ายกฏหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดว่าเข้าข่ายความผิดใด ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้วโดยเฉพาะบุคคลบางกลุ่มที่อาศัยเดือนพ.ค. เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหว
ส่วนที่มีบุคคลออกมากล่าวอ้าง และยอมรับเรื่องพฤติกรรมและการกระทำนั้น ทางตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบทั้งหมด แม้ว่าจะมีบางกลุ่มออกมาแสดงเจตจำนงว่าเป็นคนก่อเหตุ แต่ก็ต้องหาพยานหลักฐานอื่นๆ ให้เพียงพอจึงจะสามารถเรียกมาให้ปากคำได้ ตอนนี้ยังไม่มีการเรียกมาสอบปากคำแต่อย่างใด และกำลังดูว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังใช้เรื่องนี้มารณรงค์ให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้ เพื่อหวังผลอะไรหรือไม่
คณะก้าวหน้ารับเป็นมือยิงเลเซอร์
นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำพรรคก้าวหน้า กล่าวถึงแคมเปญพฤษภา 35/53 และ#ตามหาความจริง รวมถึงที่มีการยิงเลเซอร์ข้อความต่างๆ ตามสถานที่ราชการและสถานที่สาธารณะว่า เดือนพฤษภาคม เป็นเดือนที่สำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองในประเทศไทย มีการสังหารหมู่ประชาชนเกิดขึ้นถึง 2 ครั้งในเดือนนี้ คือ พฤษภาทมิฬปี 35 และการสลายการชุมนุมพฤษภาคมปี 53 ซึ่งก็ครบรอบ 10 ปีที่เกิดขึ้น ตั้งต้นอยากทำความจริงให้ปรากฏ เพราะคนรุ่นหลัง ส่วนน้อยอาจจะไม่ทราบ หรือไม่เข้าใจการเมืองในยุคก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นี่จะเป็นการคืนความยุติธรรมให้กับคนที่สูญเสีย นำตัวผู้กระทำความผิด มาสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งสิ่งนี้ถึงจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ของคนในสังคมได้ ทุกคนต้องรู้ความจริงคืออะไร นี่คือที่มาของแฮ็ชแท็กตามหาความจริง เราไม่ได้สถาปนาชุดความจริงขึ้นมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากที่มีการยิงเลเซอร์ข้อความต่างๆ ตามที่ต่างๆแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จ มีคนตามหาว่าคืออะไร มีคนแชร์ประสบการณ์ต่างๆมากมาย มีคนแชร์คลิปเก่าๆ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องผูกขาดโดยใคร
สำหรับ การยิงเลเซอร์เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของแคมเปญเท่านั้น หลังจากนี้จะมีการทยอยปล่อยข้อมูล และสารคดีต่างๆออกมา จะเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพฤษภาทมิฬ 35 และพฤษภา 53 โดยไฮไลท์ จะมีการฉายหนังออนไลน์ 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-20 พฤษภาคมนี้ และในวันที่ 19 พฤษภาคม ก็จะมีการจัดเสวนาออนไลน์
พร้อมกันนี้ นางสาวพรรณิการ์ กล่าวถึงคดีความที่อาจจะถูกดำเนินคดีได้ ว่า มีความกังวล ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปละเมิดประชาชน แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี ยังไม่สามารถบอกได้ว่าผิดข้อหาอะไร ส่วนตัวอยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าคณะก้าวหน้าเป็นคนคิดริเริ่มแคมเปญนี้ หากต้องการจะที่จะดำเนินคดีทางกฎหมาย ก็มาเอาผิดที่คณะ หากหาข้อหาเอาผิดได้และ ไม่มีอะไรที่จะต้องดิสเครดิตรัฐบาล สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือยอมรับความจริง ไม่เช่นนั้น ทุกคนจะเหมือนอยู่ในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ส่วนรูปแบบการฉายข้อความบนพนังอาคารนั้น เป็นรูปแบบที่ทั่วโลกทำในวงการศิลปะและโฆษณา รวมถึงการเรียกร้องทางการเมืองในหลายประเทศ โดยไม่ได้เป็นการเจาะจงหรือตั้งใจเชื่อมโยงกับการฉายข้อความในประเทศเยอรมันแต่อย่างใด