MGR Online - ผบช.น.ยังไม่ชัดมือยิงเลเซอร์ทั่วกรุงเข้าข่ายความผิดใด ต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อน ยังไม่เรียกสอบคนอ้างมีส่วนเกี่ยวข้อง คงเป็นการระลึกเหตุการณ์สำคัญเดือน พ.ค. ย้ำทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม “ช่อ พรรณิการ์” โพสต์ทวิตเตอร์ชี้เป็นสิทธิ์ควรอยู่ในกรอบ
จากกรณีเมื่อคืนวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา มีกลุ่มบุคคลฉายข้อความปริศนาด้วยลำแสงเลเซอร์ ว่า “ตามหาความจริง” ในหลายสถานที่ อาทิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วัดปทุมวนาราม แยกราชประสงค์ กระทรวงกลาโหม และบางจุดฉายภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุม เดือน พ.ค. 2553
คืบหน้าวันนี้ (13 พ.ค.) เวลา 11.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา กล่าวว่า อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคลและรวบรวมพยานหลักฐาน จึงจะสามารถบอกได้ว่าเข้าข่ายความผิดใดบ้าง โดยช่วงเดือน พ.ค.เคยมีเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือที่เรียกว่า “พฤษภาทมิฬ” เมื่อปี 2535, การกระชับพื้นที่การชุมนุม หรือที่เรียก “พฤษภาอำมหิต” เมื่อปี 2553 และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อปี 2557 ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในเดือนเดียวกัน อาจจะมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว และอาจจะมีความสงสัยในบางเหตุการณ์ จริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในกระบวนการยุติธรรม และอยู่ในความรับผิดชอบของ กรมสวบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยสามารถสอบถามไปยังดีเอสไอได้
“ช่วงนี้เป็นช่วงที่ประชาชนยากลำบาก จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราต้องการความร่วมมือร่วมใจที่จะฝ่าฟันปัญหา ขอให้บุคคลช่วยกันพิจารณาว่า เราควรจะต้องเอาเรื่องการควบคุมโรค เป็นอันดับแรกก่อน” ผบช.น.กล่าว
พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวต่อว่า กรณีมีผู้ออกมาอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะนี้ทางตำรวจยังไม่มีการเรียกตัวมาสอบปากคำ เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าบุคคลดังกล่าวพูดว่าอย่างไร ส่วนตัวตนเชื่อว่า เขาไม่ได้พูดว่าเป็นคนทำ ส่วนการที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า “#ตามหาความจริงกับเรา 12-20 พ.ค.นี้ ทางเพจคณะก้าวหน้า ฉายภาพกลางกรุงมันแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ความจริงต้องปรากฏ” ตนมองว่า การกระทำทุกอย่างเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน แต่ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ขอให้ใช้ดุลพินิจว่าเกิดประโยชน์กับสังคม และอยู่ในกรอบของกฎหมายหรือไม่ ทางตำรวจอยู่ระหว่างการพิจารณา