xs
xsm
sm
md
lg

เสี้ยม! “คณะก้าวหน้า” ยิงเลเซอร์นัดเดียวได้นกสองตัว “อดีตหัวหน้า ศรภ.-ถวิล” VS “จตุพร” เหลือง-แดงฟัดเดือด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ การชุมนุมของ นปช. ที่สี่แยกคอกวัว ปี 53 จากแฟ้ม
“ยิงเลเซอร์นัดเดียวได้นกสองตัว” ขบวนการหากินกับแผลคนอื่นได้ผล การรื้อฟื้นความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับคนเสื้อแดงปี 53 เริ่มสร้างความขัดแย้งใหม่ “อดีตหัวหน้า ศรภ.- ถวิล” VS ตู่-จตุพร ตัวแทน “เหลือง-แดง” คือตัวอย่าง

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 พ.ค. 63) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ “ตามหาความเท็จ จากคณะใหม่”

โดยระบุว่า “เอาแค่เรื่องในเหตุการณ์เพียงวันเดียวของการประท้วงก่อน เบื่อที่ต้องเขียนแล้วเขียนอีกไม่เขียนก็ไม่ได้ มีคนพยายามเอาเรื่องไม่จริงมาหลอกเด็กอยู่เรื่อยๆ

ผมว่ารัฐบาลใจดีเกินไปหรือเปล่า

1. การก่อเหตุรุนแรงในการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช.เมื่อ 10 เม.ย. 53 เริ่มต้นขึ้นด้วยการใช้อาวุธสงครามออกมายิง ฮ.ที่เชิงสพานผ่านฟ้าก่อน ท่ามกลางคนนับร้อย หลังจากนั้นบนสะพานพระปิ่นเกล้า คนอีกกลุ่มก็ขึ้นไปรุมทำร้ายทหาร บนรถบรรทุกทหาร 4 คัน โดยทหารมีปืนพกประจำกาย แต่ไม่ทำร้ายหรือต่อสู้ ด้วยเห็นว่า เป็นประชาชน ที่เป็นคนไทยด้วยกัน กลุ่ม นปช.ยึดอาวุธสงครามไปได้ส่วนหนึ่ง ปัจจุบันยังตามหาไม่ครบ

2. ต่อมาที่บางลำพู ช่วงบ่าย การ์ดของกลุ่ม นปช.คนหนึ่งในแถวหน้าที่ผลักดันกันอยู่กับแถวทหาร การ์ดคนนั้นได้ล้วงปืนพกออกมายิงใส่ทหารที่ผลักดันกันอยู่ซึ่งๆ หน้า ล้มลง 2 คนกลางวันแสกๆ พอตกค่ำก็มีชายชุดดำเริ่มต้นใช้อาวุธสงครามหลากหลายชนิด ระดมยิงเข้าไปที่กลุ่มทหาร และประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตลอดถนนบางลำพู จนประชาชนย่านนั้นต้องนำทหารที่บาดเจ็บไปซ่อนไว้ในบ้าน เพราะไม่งั้นจะมีกลุ่มคนที่คอยดักทำร้ายทหารที่ถูกยิงบาดเจ็บแล้วซ้ำเข้าไปอีก ขณะกำลังนำทหารส่งโรงพยาบาล

3. แค่นั้นไม่พอ เมื่อทหารไม่กล้ายิงประชาชนที่อยู่หน้าแถว กลุ่มชายชุดดำอีกชุดหนึ่ง ล้อมทหารไว้หน้า รร.สตรีวิทย์ เอาประชาชนบังหน้า ฮึกเหิมถึงขั้นใช้อาวุธสงครามนานาชนิด รวมทั้งระเบิดสังหาร ลอบสังหารนายทหารระดับผู้การกรมจนเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสไปถึง 4 คนรวมถึงการฆ่าประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง อย่างหน้าตัวเมีย

มีทหารบาดเจ็บมากมาย กล่าวกันว่า ทหารที่ตายและบาดเจ็บมีจำนวนพอๆ กับทหารไทยที่ไปรบในสงครามเวียดนามเลยทีเดียว (แตกต่างกันตรงที่ ที่ราชดำเนินทหารไม่สามารถใช้อาวุธโต้ตอบฝ่ายตรงข้ามซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มประชาชนโดยใช้ประชาชนบังหน้าได้จึงถูกไล่กระทำเพียงฝ่ายเดียว)

4. ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คดีแรกๆ ที่จะฟ้องทหาร เรื่องพลเรือนที่ถูกกระสุนปืนความเร็วสูงตายหน้า ร.ร.สตรีวิทย์ 2 คน และนักข่าวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่ง ฝ่ายที่จะเอาผิดทหารพยายามเชื่อมโยงว่ากระสุนมาจากฝั่งทหาร แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะผลการพิสูจน์ทั้งทางการแพทย์ (นิติเวช) และรูปภาพในคลิปวิดีโอกลับยืนยันได้ว่า กระสุนที่ยิงใส่พลเรือน 2 คนจนเสียชีวิตนั้น ไม่ได้มาจากฝั่งทหาร

นอกจากนั้น ประชาชนอีกคนที่ตายจาก “กระสุน” ก็เป็นกระสุนที่ทางทหารไม่มีใช้ เรื่องการตายของพลเรือนที่หน้า ร.ร.สตรีวิทยา จึงยุติลงไป แต่ไปจับเอาเรื่องของพลเรือนที่ตายย่านราชประสงค์มาเล่นงานทหารแทน ตอนนี้ก็ยุติไปอีก เพราะความจริงพิสูจน์ได้

อย่าไปตามหาความจริงเลย แต่ถ้าอยากรื้อฟื้นคดี ตามที่กลุ่มฉายแสงเลเซอร์เรียกร้องมาก็ดีเหมือนกัน หลักฐานหลังจากการสลายตัวของกลุ่ม นปช.ยังมีอีกเพียบเลย ตั้งแต่อาวุธสงครามทั้งหลายรวมถึงระเบิด C-4

เอาเลยครับ เอากันจริงๆสักที ไม่งั้นพูดกันไม่รู้จักจบ

ในแทบทุกศาสนา ศีลข้อแรกคือ การยกเว้นการฆ่า โดยเฉพาะการฆ่าผู้บริสุทธิ์ เคยมีพระเกจิท่านหนึ่งได้บอกผมว่า คนที่เอาชีวิต (ฆ่า) คนอื่น รวมทั้งคนที่สั่งการวิญญาณของผู้ตายจะมาเกาะอยู่ข้างหลัง เป็นกรรมติดตัวไปตลอด ยิ่งกรรมเกาะหลังเยอะยิ่ง “หนักกรรม” ครับ”

ภาพ นายถวิล เปลี่ยนศรี จากแฟ้ม
ก่อนหน้านี้ (14 พ.ค. 63) นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเช่นกัน

ประเด็นที่น่าสนใจ ระบุว่า “เห็นคนกลุ่มหนึ่งออกมายิงเลเซอร์ไปตามอาคาร และสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ หลายแห่ง เมื่อคืนวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นัยว่าเป็นการค้นหาความจริง ในโอกาสครบรอบเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2553...

ทีนี้ เมื่อปี 2553 ขณะนั้น ผมเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ จึงเป็นเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. โดยตำแหน่ง ผมอยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 จนสิ้นสุดการชุมนุม เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2553...

เหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ครั้งนั้น มีเหตุการณ์เล็กๆ มากมายหลายเหตุการณ์ ประกอบเข้าเป็นเหตุการณ์ใหญ่ บอกกล่าวกันสั้นๆ ไม่หมดไม่สิ้น แต่ถ้าท่านอยากทราบ ผมก็พอสรุปให้ท่านทราบบางเรื่องได้ เช่น

1. การชุมนุมครั้งนั้น เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ผมไม่ได้พูดเองหรือใครพูด แต่เป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลชี้ทุกครั้งที่มีผู้ไปร้องว่า เป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเมื่อรัฐร้องขอให้ศาลสั่งการให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม ศาลยังชี้ว่า เนื่องจากเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบ รัฐจึงสามารถสลายการชุมนุมได้ โดยปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องมาขอให้ศาลสั่งอีก

2. การชุมนุมครั้งนั้น มีการปรากฏตัวของชายชุดดำ ซึ่งหมายถึงผู้ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ครอบครองและมีการใช้อาวุธสงครามร้ายแรง ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จริง โดยในการปฏิบัติการคนเหล่านั้น มักพลางใบหน้าและร่างกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ ชายชุดดำปรากฏตัวในหลายสถานที่ และในหลายเหตุการณ์ ที่สำคัญคือ การปรากฏตัวที่สีแยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 และใช้อาวุธสงครามทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนาย รวมทั้ง พันเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม ยศในขณะนั้น

3. ไม่มีการสลายการชุมนุมครั้งนั้นแต่อย่างใด การปฏิบัติของเจ้าหน้าทีมีเพียงการขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เมื่อผู้ชุมนุมได้ใช้พื้นที่บนถนนสำคัญหลายเส้นทาง ติดต่อกัน จนรบกวนการสัญจรเดินทางของประชาชนจนเกินควร แต่กลับถูกต่อต้านอย่างหนักจากผู้ชุมนุม จนนำไปสู่การสูญเสียทั้งผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ไม่ได้เป็นการบุกเข้าไปของเจ้าหน้าที่เพื่อสลายการชุมนุมแต่อย่างใด

ทั้งนี้ แม้แต่วันที่ กลุ่ม นปช.ยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 ก็เป็นการยุติการชุมนุมเอง หลังจากที่เจ้าหน้าที่กระชับวงล้อมการชุมนุมที่แยกราชประสงค์อยู่หลายวัน เพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง แต่ยังปรากฏการยิงก่อกวน และทำร้ายเจ้าหน้าที่ตามจุดต่างๆ ที่ตั้งปิดการชุมนุมอยู่ เสมอ โดยเฉพาะจากบริเวณสวนลุมพินี

ในวันดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงบีบวงล้อมเข้าไปทางด้านถนนราชดำริ ระหว่างโรงพยาบาลจุฬาฯ กับสวนลุมพินี เพื่อกดดันไม่ให้มีการชุมนุมบริเวณนั้น และทำร้ายเจ้าหน้าที่อีก และได้ยุติการกระชับพื้นที่อยู่แค่นั้น ไม่ได้มีการบุกเข้าไปสลายการชุมนุมอย่างที่บางฝ่ายกล่าวหาแต่อย่างใด

ยังคงมีข้อเท็จจริงอื่นๆ อีกมากในเหตุการณ์ครั้งนั้น เช่น มีการเผาบ้านเผาเมืองหรือไม่ มีการปลุกปั่นยุยงให้มีการใช้ความรุนแรงหรือไม่ และจากใครบ้าง การเสียชีวิตของผู้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น เกิดจากอะไร และไม่แต่ผู้ชุมนุม แต่เจ้าหน้าที่ก็เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก เพราะอะไร ผมคงเล่าเหตุการณ์ย่อยๆพวกนี้ไม่หมด แต่หากใครอยากทราบความจริงเหล่านี้ ท่านก็ไปหาอ่านจากรายงานของ คอป. ตามที่ผมได้บอกไว้ ก็ได้ครับ”

ภาพ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ขณะเป็นแกนนำ นปช. ปี53
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (15 พ.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือ “ตู่” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ผ่าน “Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์” ในรายการ PEACE TALK กล่าวถึงการชุมนุมเมื่อพฤษภา 2553 เอาไว้อย่างน่าสนใจ

รวมถึงประเด็น การโพสต์เฟซบุ๊ก ของนายถวิลด้วย

ที่สำคัญนับแต่ ตลอดเวลา 10 ปีมานั้น กลุ่มคนเสื้อแดงได้ยืนหยัดกับความเป็นจริงของสิ่งที่เรียกร้องให้ยุบสภาอย่างชัดเจน ตลอดจนได้ระมัดระวังพูดคุยให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ในสภาพที่บ้านเมืองและประชาชนอยู่ด้วยความยากลำบากในขณะนี้...

อย่างไรก็ตาม นับแต่มีการยิงแสงเลเซอร์ “ตามหาความจริง” ในวาระ 10 ปีพฤษภา 2553 นั้น ขณะเดียวกัน กลุ่มคนบางกลุ่มเริ่มจุดพลุการชุมนุมมาตอกย้ำอีก ดังนั้น คนที่เป็นคู่กรณีและที่มีจุดยืนเป็นปฏิปักษ์ชัดเจนต่อกัน โดยเฉพาะ นายถวิล เปลี่ยนศรี ส.ว.และอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และเป็นอดีตเลขานุการ ศอฉ. (ปี 2553) ซึ่งนำรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เหยียบย่ำกันนั้น

“ผมในฐานะประธาน นปช. ต้องอธิบายและขอบอกว่า ทุกสิ่งที่อ้างว่า เป็นความจริง แล้วตอกย้ำซ้ำๆ หลายครั้ง แต่ในตอนจบล้วนเป็นคำพูดโกหก เพราะไม่สามารถไปหักล้างผลตรวจสอบ การชันสูตรพลิกศพคนตายของศาลที่ชี้ว่า เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งศาลยืนยันว่าไม่มีชายชุดดำในเหตุการณ์คนเสื้อแดงถูกลอบยิงในวัดปทุมวนาราม

ดังนั้น เราอยากบอกว่า 10 ปีมานั้น มีการพยายามแกะแผลเป็นเหตุการณ์พฤษภา 2553 ซึ่งเปิดมาเมื่อไรก็เป็นเรื่องกันได้ทุกครั้ง แม้เราพยายามบอกหมู่มิตรอย่าตื่นเต้นกับฝ่ายตรงข้ามพยายามปลุกคนเสื้อแดงออกมา แต่เมื่อทุกคนรู้ความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ต้องระมัดระวังวิธีการที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันอีก” นายจตุพร ระบุ

นอกจากนี้ นายจตุพร ยังกล่าวด้วยว่า “ผมไม่ได้ปลุกคนเสื้อแดง แต่คนที่ปลุกคนเสื้อแดง คือ คนที่เล่นงานคนเสื้อแดงอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะไปรื้อแผลเป็นของเขา มาปีนี้ คุณถวิลกลับฟื้นฝอยหาตะเข็บอีก จะเอาจริงหรือ พร้อมแล้วเหรอ นัดหมายมาจะเอากันให้ชัดเจน ไม่มีปัญหาอะไรเลยในเรื่องข้อเท็จจริงต่างๆ เมื่อคุณมีทัศนะอยู่ฝ่ายตรงข้าม อยู่ฝ่ายปราบปราม แล้วคุณจะพูดหาอะไรกัน ต้องการมาประหัตประหารกันใหม่หรือ แล้วคุณได้อะไร”...

แน่นอน, โพสต์ของทั้งสองฝ่าย ก็ยังคงเป็นความจริงคนละชุดอยู่นั่นเอง ต่อให้ คอป. ที่เป็นกลาง เป็นอิสระ และตั้งโดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาศึกษาหาความจริง ก็ยังไม่อาจยอมรับได้ อย่างที่ “ตู่-จตุพร” หยิบยกขึ้นมา ถ้าเช่นนั้น เชื่อว่ายากที่จะหาความจริงได้!

แต่เหนืออื่นใด ใครจะคิดว่า คนยิงเลเซอร์ “ค้นหาความจริง” จะเป็น “คณะก้าวหน้า” (ยอมรับเอง) แทนที่จะเป็น “กลุ่มคนเสื้อแดง” นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าเป็นกลุ่มนี้ พวกเขากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ต้องการ “สร้างความขัดแย้งใหม่”

ถ้าเช่นนั้น ก็แสดงว่า พวกเขา “ยิงเลเซอร์นัดเดียวได้นกสองตัว” หมายถึง ได้ทั้ง “ความขัดแย้งใหม่” ได้ทั้งตัวแทนเพื่อไปออกรบกับรัฐบาล “ลุงตู่” และฝ่าย “เสื้อเหลือง” เรียบร้อย หรือไม่จริง?


กำลังโหลดความคิดเห็น