ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เป็นอะไรมากมั้ย? โซเชียลฯ ถาม “ปลื้ม” หลังแอ็กชันพีกขั้นสุด ขว้างสคริปต์ใส่กล้องกลางรายการวิพากษ์โควิด ..ไม่เข้าใจปิดศูนย์เด็กเล็กไปหาอะไร ร้องลั่น บ้า บ้า บ้า!!
ดรามาอีกแล้วครับท่านกับแอกชัน หัวฟัดหัวเหวี่ยงล่าสุดของ “ปลื้ม” ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ที่ค้านสุดโต่งกับมาตรการ “ล็อกดาวน์” ปราบโควิด-19 ของรัฐบาลลุงตู่
ดรามาล่าสุดนี้เกิดขึ้นในรายการ “Wake Up Thailand” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ที่ดำเนินรายการโดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ชูวัส ฤกษ์ศรีสุข และ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.)
ในรายการทั้ง 3 คน พูดวิพากษ์วิจารณ์มาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ตามสไตล์ และไม่พลาดที่จะโฟกัสขยี้ประเด็นกรณีที่มีการปิดการเรียนการสอนตามสถาบันต่างๆ และมีการปิดศูนย์เด็กเล็ก
ระหว่างโยนลูกกันไปมาถึงจุดนี้ ซึ่งการ “ล็อกดาวน์” ปิดโรงเรียนนี้เป็นกรณีที่ “ปลื้ม” ไม่ปลื้มมาตลอด ก็ได้แสดงท่าทีมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวขั้นสุด ขยับขยำกระดาษสคริปต์ ที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วเขวี้ยงใส่กล้อง พร้อมคำพูดประกอบลีลา...“ปิดศูนย์เด็กเล็กไปหาอะไร มัน มัน จะบ้า! บ้า!! บ้า!!!”
เรียกว่า แอ็กชันเดือดพล่านกินขาด สะใจฮาร์ดคอร์ปลื้มไปละ!!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “หม่อมปลื้ม” ออกอาการหัวร้อน... ตั้งแต่รัฐประกาศล็อกดาวน์ “ปลื้ม” ก็แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หรือสื่อผ่านรายการมาต่อเนื่อง
“ปลื้ม” เห็นว่า รัฐบาลถูกหมอฝั่งที่ไม่มีความรู้ด้านพัฒนาการเด็กครอบงำมากไป จึงสั่งปิดโรงเรียนยาว ขณะที่หมอและผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสออกสื่อเห็นว่าไม่ควรปิดยาว เพราะจะเป็นโทษต่อเด็กมากกว่าแค่การป้องกันการติดเชื้อ และยกตัวอย่างหลายประเทศที่ไม่ทำเหมือนประเทศไทยในเรื่องนี้
ยิ่งตอนนี้รัฐบาลมีแผน ให้เตรียมการสั่งบังคับให้เรียนจากที่บ้าน (e-learning) ทุกบ้านทั่วประเทศ ซึ่งก็คือไม่ได้ไปโรงเรียน จนกว่าจะถึงวันที่ 1 ก.ค. สำหรับ “หม่อมปลื้ม” คิดว่าการปิดเทอม คือ การ “ขังเด็กไว้ในบ้าน” พร้อมกับบ่อยครั้งที่ตั้งคำถามว่า ทำไมเด็กไทยถูกรังแกอย่างนี้ ใครสั่งมา? การบังคับ e-learning ทั้งที่ไม่จำเป็นคือสิ่งที่แย่ และ “เลวมาก”
“ปลื้ม” ย้ำมาตลอดว่า ล็อกดาวน์เด็กเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล ไร้ตรรกะ ไร้สติ และไร้วุฒิภาวะในการตัดสินใจและสั่งการ
หลังจากแอกชันหัวฟัดหัวเหวี่ยงเขวี้ยงข้าวของหม่อมหลวงปลื้ม มีการเผยแพร่ออกไป ชาวโซเชียลฯ ต่างเข้ามาแสดงความเห็นหลากหลาย
หลายคนแสดงความเป็นห่วงอาการของ “หม่อมปลื้ม” เกรงว่า เพราะอากาศร้อนจนคลุ้มคลั่งหรือเปล่า ... แนะนำว่าให้ตรวจเช็กสภาพจิตบ้างก็ดี
ชาวเน็ตเห็นกันแล้วลงความเห็นอยากถามว่า เป็นอะไรมากมั้ย? หรือมีกระทั่งว่า เป็นพฤติกรรมที่สื่อความรุนแรงโอเวอร์แอ็กติ้งไปหน่อย โดยข้อมูลหากจะดีเบตกัน “ปลื้ม” ก็ควรเคารพความเห็นอีกด้าน ขณะที่ประเทศ พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็ห่วงลูกหลาน ไม่ต้องการให้ลูกโดยเฉพาะเด็กๆ ออกไปเผชิญความเสี่ยงกับการติดเชื้อ
ว่าไปแล้ว ความเห็นก็ว่ากันไป นานาจิตตัง รวมทั้งทัศนะของ “ปลื้ม” ในฐานะพิธีกรผู้ดำเนินรายการ ก็มีสิทธิจะพูดในสิ่งที่เชื่อ แต่เรื่องนี้มาตรฐานด้านสาธารณสุข นำมาซึ่งมาตรการล็อกดาวน์ และการป้องกันโควิด-19 ก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยทำได้ดี มีเสียงชื่นชมจากนานาประเทศ ตลอดจนความร่วมมือของประชาชน เกิดปรากฏการณ์ที่เอื้ออาทรต่อกันในยามวิกฤต เช่น ปรากฏการณ์ “ตู้ปันสุข” ที่เราได้เห็นๆ กัน
เรียกว่าในร้ายก็มีดี ในวิกฤตก็มีโอกาส ความเป็นไปในความจริงที่ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบ และจำเป็นต้องปรับตัวตามสถานการณ์ของโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดครั้งนี้
ส่วนแอ็กชัน “หม่อมปลื้ม” ก็อย่าซีเรียสกันนัก ปลื้มไม่ปลื้ม ตีบทแตกบ้าง แป้กบ้าง จะมองว่าเรียกเรตติ้ง เรียกราคา ก็คิดเสียว่าดูเพื่อความบันเทิง ขำขำไป
อากาศมันร้อน คนคลุ้มคลั่งกันได้ง่ายๆ ใจเย็นๆ คุมอารมณ์กันนิด
** “แรมโบ้” เตือนสติ “จตุพร” เพื่อนรักให้กลับตัวกลับใจ หยุดสร้างความแตกแยก เพราะรู้อยู่แล้วว่าการชุมนุมในปี 53 นั้น ใครบงการอยู่เบื้องหลัง และทำไปเพื่ออะไร
หลังจากเปิดหน้ากันออกมาแล้วว่าผู้อยู่เบื้องหลังการยิงแสงเลเซอร์ ข้อความ “ตามหาความจริง” ตามจุดที่เป็นสัญลักษณ์ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อปี 2553 คือ “คณะก้าวหน้า” ที่ร่วมมือกับกลุ่ม นปช.เพื่อปลุกกระแสรำลึกครบรอบ 10 ปี ในเหตุการณ์ครั้งนั้น และเตรียมจัดการ “ชุมนุมออนไลน์” เพื่อเรียกร้องหาความจริงจากรัฐบาลลุงตู่
ซึ่งเรื่องนี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวบรวมข้อมูล พยานหลักฐาน รวมทั้งตัวบุคคล และพิจารณาข้อกฎหมาย ว่าเข้าข่ายยุยง ปลุกปั่นหรือไม่ หากเข้าข่ายความผิดใดก็จะได้ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาและให้ปากคำ
แค่มีท่าทีจากฝ่ายรัฐว่าจะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง... “ทั่นโรม” รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ก็ออกมาโต้ว่า เรื่องยิงเลเซอร์ไม่ได้ทำความเสียหายให้กับตัวอาคาร หรือสถานที่ใดๆ เลย ข้อความก็ไม่ได้ยุยง ปลุกปั่น หรือกระทบต่อความมั่นคงใดๆ ทั้งสิ้น และก็ไม่มีกฎหมายข้อใดที่จะมาดำเนินคดีได้ ...ในทางตรงกันข้าม การพยายามจะข่มขู่ ยัดเยียดความผิดต่างหากที่ถือว่าเป็นการ “ละเมิดสิทธิเสรีภาพ” ประชาชน
ยิ่งมีการบอกว่า “พรรคก้าวไกล” เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และถูก “คณะก้าวหน้า” ครอบงำ แล้วจะมาหาเหตุยุบพรรคก้าวไกลนั้น ก็ขอชี้แจงว่า ส.ส.ของพรรคก้าวไกลกับสมาชิก “คณะก้าวหน้า” คือ อดีตสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไป จึงไม่แปลกที่เราจะมีอุดมการณ์เดียวกัน มีความเห็นที่ตรงกัน !!
จับอาการ “ทั่นโรม” ที่ตอบโต้แล้วก็เหมือนคน “ปากกล้า ขาสั่น” แถสีข้างถลอก!
ขณะที่อีกฟากฝ่าย อย่าง “แรมโบ้อีสาน” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งเป็นอดีตแกนนำ นปช. อยู่ร่วมในเหตุการณ์พฤษภา 53 มาโดยตลอด และเป็นคนที่รู้ไส้รู้พุง “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.เป็นอย่างดี ก็ออกมาเตือนสติ “เพื่อนรัก” ให้หยุดความคิดสร้างความแตกแยก เลิกตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองจะดีกว่า
เพราะไม่อาจปฏิเสธว่าการชุมนุมในครั้งนั้น มี “ผู้บัญชาการ” อยู่เบื้องหลัง ซึ่งใครๆ ก็รู้กัน และบรรดาแกนนำที่เข้ามารับใช้การเมือง ก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก เรื่องเพื่อประชาธิปไตยนั้นก็แค่คำพูดให้ดูดี ... ดูได้จากหลังการเลือกตั้งทุกคนก็ได้รับรางวัลสมนาคุณในความดีความชอบ แกนนำทุกคนมีตำแหน่งทางการเมืองกันถ้วนหน้า บางคนให้มีตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนได้ลูกหรือเมียมาเป็น ส.ส.ในสภา บางคนได้เป็นถึงรัฐมนตรีในกระทรวงใหญ่ๆ 2-3 กระทรวงด้วยซ้ำไป
“ที่ต้องพูดก็เพราะต้องการให้ทบทวนบทบาททบทวนความคิดว่าเราสู้เพื่อประชาชน สู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือสู้เพื่อพรรคการเมือง หรือสู้เพื่อใครบางคน หรือสู้เพื่ออยากมีอยากได้ ตำแหน่งของตัวเราเอง ขอให้ตั้งสติแล้วตรองดู”
“แรมโบ้” เอาความจริงมาย้อนถามเพื่อนรักแบบ “จี้ใจดำ” พร้อมคำพูดทิ้งท้ายว่า...
“จตุพรต้องพึงระวัง อย่าเดินหลงทางซ้ำสอง อย่าตกเป็นเครื่องมือการเมืองของใครอีก ต้องหยุดการเดินหลงทางให้คนบางกลุ่มที่กำลังพยายามคิดจะสร้างความวุ่นวาย สร้างความแตกแยกให้บ้านเมืองในขณะนี้ เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเมื่อปี 52 และปี 53 ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับพวกเราว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไร ยิ่งให้ผมพูดยิ่งจะเป็นการเผาพวกเดียวกัน อย่าให้ผมพูดเลย สุดท้ายประชาชนจะกล่าวหาว่าพวกเราเองต่างหากหลอกเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือ มาเป็นเกราะกำบัง เรียกร้องคร่ำครวญหาประชาธิปไตย จนกระทั่งถูกยัดเยียดข้อหาพาประชาชนไปตายเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ใครบางคน”