ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
เสียงต่อต้านหรือขับไล่รัฐบาลในช่วงการควบคุมโรคระบาดจากไวรัส โควิด-19 นั้น นอกจากจะไม่สามารถจะจุดติดได้แล้ว ยังถูกโต้กลับหลายครั้งหลายหนว่าไม่รู้จักกาละเทศะในยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ จนเสียงเรียกร้องการโจมตีให้เร่งเปิดกิจการก็ดี หรือยกเลิกพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ดี ได้ถูกทัดทานและตอบโต้กลับด้วยสถิติและตัวเลขที่ประเทศไทยมีสถานการณ์การควบคุมโรค การฟื้นตัว จนถึงขั้นได้รับการยอมรับจากหลายประเทศที่เปิดโอกาสให้คนไทยเดินทางไปหลายประเทศได้มากขึ้น
กระแสเสียงของความหวั่นเกรงการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 นั้นแรงกว่า ประชาชนจึงสนับสนุนการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม “อย่างเป็นขั้นเป็นตอน” แรงกว่ากระแสใจร้อนที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพที่ฝ่ายตรงกันข้ามที่คาดหวังแนวร่วมจากประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อเขย่าอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลมาโดยตลอดก็ไม่สามารถจุดติดได้
และคงไม่ใช่เป็นเพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ออกมาเคลื่อนไหวรักหรือชอบรัฐบาล แต่เป็นเพราะเกิดภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจทั่วโลก ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า นักท่องเที่ยงลดลงฮวบฮาบ กำลังซื้อหดหาย คงไม่มีใครมีใจจะไปรวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวสร้างความเสี่ยงในการระบาดระลอกใหม่ในภาวะแบบนี้
เพราะเป็นความบังเอิญว่าหนทางการเอาชนะโรคระบาดได้ ก็คือการ “การควบคุมโรค” ซึ่งต้องมาพร้อมกับบรรยากาศที่ “ตรงกันข้ามกับสิทธิเสรีภาพการรวมตัวเพื่อชุมนุมหรือกดดัน” และบังเอิญที่ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ฝ่ายตรงกันข้ามรัฐบาลบางส่วน ที่พยายามจุดกระแสให้เชื่อเรื่องการใช้ชีวิตเป็นปกติ เรียนหนังสือเป็นปกติ เพื่อให้ได้มาซึ่งการติดเชื้อระดับประชาชาติเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันรวมหมู่ที่มีโมเดลอย่างประเทศสวีเดนเป็นต้นแบบ เพื่อหวังให้ประชาชนไม่พอใจต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อมาตรการควบคุมทั้งหลายของรัฐบาล ภายหลังต่อมาเกิดความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทั้งในเรื่องอัตราการเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก และระยะเวลาที่ยืดเยื้อยาวนาน รวมถึงเศรษฐกิจพังพินาศมากกว่าอีกด้วย ฝ่ายตรงกันข้ามรัฐบาลแทบจะเงียบกริบ และไม่พูดถึงเรื่องที่พวกตนเองเคยรณรงค์อีกเลย
ฝ่ายตรงกันข้ามรัฐบาลบางส่วน รณรงค์ให้เด็กได้เร่งเปิดเรียนหนังสือที่โรงเรียน แต่ไม่ทันจะได้จุดติดในประเด็นนี้ กลับปรากฏว่าปัญหาการเปิดเรียนและเกิดการระบาดรอบใหม่ที่เกาหลีใต้ไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนจึงไม่ต่อต้านการทยอยเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วย “สถิติไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศ” ทำให้ประชาชนดูเข้าอกเข้าใจและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลมากกว่า
ประชาชนกลับให้กำลังใจรัฐบาลด้วยความหวังว่า “ประเทศไทยจะไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศให้นานที่สุด หรือดีที่สุดคือไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศอีกเลย” เพราะถ้าประเทศไทยทำได้เช่นนั้น โอกาสที่จะคนไทยจะกลับมาทำมาหากิน หรือมีนักท่องเที่ยวอยากกลับมาที่ประเทศไทยก็ย่อมต้องมีมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามถ้ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับเข้ามาอีก เศรษฐกิจก็จะย่ำแย่ ยืดเยื้อยาวนานอย่างแน่นอน
“การระบาดรอบใหม่” คือคำเตือนให้ประชาชนอย่าการ์ดตก ประชาชนสามารถติดตามข่าวได้จากตัวอย่างจากหลายประเทศที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ก่อนประเทศไทย และรักษาสถิติไม่มีผู้ป่วยในประเทศนานกว่าประเทศไทย ก็ยังสามารถกลับมาระบาดรอบใหม่ได้ ประกอบกับสถิติการตรวจผู้ติดเชื้อในประเทศไทยต่อประชากรทั้งประเทศไม่ได้อยู่ในแนวหน้าของโลก ประเทศไทยจึงย่อมมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นข้อห่วงใยนี้จึงมีความชอบธรรมและกลายเป็นเครื่องเตือนใจที่ประชาชนจึงยังไม่ถึงกับวางใจในสถานการณ์ และไม่ได้ออกมาต่อต้านสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลมากนัก
และด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ไม่มีประเทศไหนไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นการที่รัฐบาลเตรียมก่อหนี้ประวัติศาสตร์อย่างมหาศาลถึง 1 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงไม่ถูกต่อต้านจากประชาชนเช่นกัน อีกทั้งมาตรการเยียวยาแจกเงิน ลดค่าใช้จ่ายที่ผ่านมา แม้ว่าจะถูกบ้างผิดบ้าง ไร้ประสิทธิภาพบ้าง แต่โดยรวมแล้วมาตรการเยียวยาที่ผ่านมาได้ส่งผลทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลสูงเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเป็นรัฐบาลปกติก็คงถูกโจมตีไปอย่างหนักแล้วว่าเป็นมาตรการที่ซื้อเสียงประชาชน
ทั้งหมดดังที่กล่าวมาข้างต้นแม้ประเทศไทยและทั่วโลกจะโชคร้ายต้องประสบโรคระบาดโควิด-19 แต่การที่เป็นการระบาดระดับโลก จึงทำให้ประชาชนสามารถเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆได้ว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการดีมากน้อยเพียงใด
หลายประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่าการควบคุมโรค เกิดการต่อต้านมาตรการของรัฐบาลหรือถึงขั้นชุมนุมประท้วงในบางประเทศ ทำให้เกิดตัวเลขการระบาดหนัก ยืดเยื้อยาวนาน มีผู้ป่วยจำนวนมากจนล้นโรงพยาบาล มีประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก และปัญหาเศรษฐกิจก็รุมเร้าอย่างหนัก หรือประเทศที่เร่งเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมก่อนประเทศไทยที่เกิดการระบาดรอบใหม่ ฯลฯ ตัวอย่างจากประเทศเหล่านี้ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าประเทศไทยยังโชคดีกว่าอีกหลายประเทศอย่างชัดเจน
โควิด-19 จึงกลายเป็นโชคดีทางการเมืองของรัฐบาล เพราะในขณะที่ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แต่รัฐบาลกลับได้รับแรงสนับสนุนและได้รับความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนตลอดจนทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปให้ได้ ฝ่ายตรงกันข้ามจุดกระแสต่อต้านรัฐบาลไม่ติด แถมยังสามารถกู้เงินมากมายมหาศาลแจกประชาชนได้โดยแทบไม่มีใครต่อต้านได้ด้วย จะมีอะไรที่เป็นโชคดีทางการเมืองสำหรับรัฐบาลเช่นนี้อีก?
ส่วนกลุ่มคนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่ไร้เดียงสายังคงสนใจมุ่งโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าประเด็นปากท้องหรือประเด็นความเดือดร้อนของประชาชน กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้อาจไม่รู้ตัวว่าได้กลายเป็นอุปสรรคของการปฏิรูปบ้านเมืองไปแล้ว เพราะถ้าหากชูประเด็นการปฏิรูปการเมืองเพื่อประโยชน์ชาติและประชาชน ประชาชนส่วนใหญ่ก็ย่อมจะให้การสนับสนุนด้วยในวงกว้าง
แต่กลุ่มคนรุ่นใหม่บางกลุ่มนี้กลับนำประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์สะใจวัยรุ่นและปีกซ้ายมาเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีผสมโรงไปกับการปฏิรูป ส่งผลทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนแบ่งกลุ่มที่ไม่สามารถได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนให้เป็นเอกภาพได้ ฝ่ายทหารบางกลุ่มจึงสบโอกาสใช้เป็นเหตุผลบังหน้าร่วมกับฝ่ายการเมืองบางกลุ่มรักษาและสืบทอดอำนาจต่อไป นี่ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของฝ่ายรัฐบาลอีกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในวิกฤติที่มอบโชคดีต่อรัฐบาลก็มีความโชคร้ายเกิดขึ้นเช่นกัน เพราะเมื่อรัฐบาลได้รับการสนับสนุนมากขึ้นตลอดจนการคัดค้านต่อต้านลดลง แต่ด้วยงบประมาณอันมหาศาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ก็กลับกลายเป็นทรัพย์สมบัติของนักการเมืองเสือหิว ที่แย่งตำแหน่งทั้งในพรรคการเมืองและอำนาจในคณะรัฐมนตรี เพราะมุ่งแต่จะหาประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง แสดงออกในการช่วงชิงอำนาจกันในยามที่ประชาชนเดือดร้อนโดยไม่เกรงใจและเคารพประชาชนที่ได้เสียสละตัวเองเพื่อส่วนรวมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ลำพังเพียงแค่อาศัยการปกป้องพวกพ้องทำลายกระบวนการยุติธรรมด้วยการจับทุกกลุ่มดำเนินคดีความให้ติดคุกยกเว้น “พวกตัวเอง” เช่น กรณีนาฬิกาที่ทำลายหลักการการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินหนี้สินของนักการเมืองอย่างย่อยยับ กรณีการไม่อุทธรณ์การกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐในคดี 7 ตุลาคม 2551 ได้ทำลายการเสียสละของประชาชนและผู้ชุมนุมทุกกลุ่มที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวมถึงการหลิ่วตาปล่อยคดีหรือปล่อยให้ครอบครัวชินวัตรหนีได้ ฯลฯ ก็ถือว่าทำให้บ้านเมืองเสียหายมากแล้วจริงหรือไม่?
แต่การแสดงออกของการรวมตัวกันของ “เสือหิว” ทั้งอดีตโจรมาเฟียอุ้มฆ่าค้ายาเสพติด นักโกงเมืองผักสวนครัวรั้วกินได้ นักโกงเมืองถมทรายสนามบิน นักโกงเมืองสารพัดโครงการ ฯลฯ เพื่อแย่งชิงตำแหน่งในพรรคและคณะรัฐมนตรีนั้น ประชาชนย่อมเกิดคำถามว่าคนเหล่านี้ได้ก้าวเข้าสู่อำนาจ และรวมตัวกันกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลได้อย่างไร และเกิดคำถามว่านี่คือ มรดกของการสิ่งที่เรียกว่า “ผลผลิตของการปฏิรูปการเมือง”หรืออย่างไร?
ลำพังการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ด้วยการกู้เงินมากมายมหาศาลนั้น ต่อให้มีเงินก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ฟื้นตัวจากวิกฤติได้ เพราะวิกฤติในครั้งนี้เป็นวิกฤติทั่วโลก จึงต้องใช้โครงการที่มีประสิทธิภาพก่อให้เกิดประโยชน์และกระตุ้นได้อย่างแท้จริง ต้องธำรงไว้ซึ่งความโปร่งใสและตรวจสอบได้เป็นหลักสำคัญ อีกทั้งยังต้องทำให้เกิดความยั่งยืนภายหลังจากการใช้งบประมาณอันมหาศาลอีกด้วย
ซึ่งรับรองได้ว่าถ้าเริ่มต้นด้วยการนำกลุ่มคนที่เป็น “เสือหิว” มาบริหารงบประมาณเหล่านี้ มีหวังประเทศชาติ “บรรลัยแน่”!!!
โควิด-19 จึงเป็นตัวช่วยรัฐบาลที่ผ่านมา แต่งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจอาจนำโชคร้ายและหายนะนำมาสู่รัฐบาลให้สะดุดขาตัวเองได้ !!!
และอย่าไปเชื่อว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะแตกหักกัน หรือคิดไม่เหมือนกัน เพราะพวกเขาเพียง “แบ่งบทกันเล่น”ในละครเรื่องเดียวกันเท่านั้น พวกเขาถึงอยู่กันมาได้นานจนถึงวันนี้
ในอีกไม่นาน เราจะได้เห็นความจริงทั้งหมดว่าใครหลอกใคร ใครของจริง และใครของปลอม ใครเล่นไพ่สองหน้า ก็จะได้เห็นกันในการปรับคณะรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในอีกไม่นานนี้ว่าดีขึ้น หรือเลวลงเพียงใด !!!!
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์