"โสภณ องค์การณ์"
บ้านเมืองเราทุกวันนี้มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในแต่ละวันแต่ไม่มีเนื้อหาสาระสำคัญอะไรที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือร้าย อย่างมากแค่อยู่ในอาการทรงตัว
ยิ่งปัญหาปากท้องของชาวบ้านด้วยแล้วแทบไม่มีอะไรที่สร้างความมั่นใจว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นเพราะปัจจัยแวดล้อมต่างๆไม่เอื้ออำนวย
ที่เห็นได้ชัดก็คือจากการซบเซาของภาวะเศรษฐกิจหลายปีที่ผ่านมาทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเกือบถึง 85% ของอัตราการเจริญเติบโตของประเทศหรือจีดีพี
ขณะเดียวกันตัวเลขจีดีพีซึ่งถือเป็นดัชนีวัดสภาวะเศรษฐกิจฟ้องให้เห็นว่าเราย่ำแย่ที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนเพราะติดลบกว่า 8%
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยิ่งเป็นไปได้ยากตราบใดที่การระบาดของโรคโคโรนาไวรัสยังไม่สร่างซา ซึ่งหมายถึงอุปสรรคร้ายแรงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
รายได้หลักของเราคือการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งไม่อยู่ในสภาวะที่ช่วยเหลืออะไรได้ ความสำคัญของการเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกต้องเผชิญกับอำนาจการซื้อที่ต่ำลงและมีทางเลือกอื่นๆสำหรับประเทศผู้บริโภค
รัฐบาล 3 ลุง ซึ่งเปรียบเสมือน 3 ง่าม แทบไม่ได้สำแดงให้ประชาชนเห็นและเชื่อมั่นว่ามีความรู้ความสามารถแก้ไขปัญหาและความเดือดเนื้อร้อนใจของประชาชน
การอ้างว่ารัฐบาลมาจากการเลือกตั้งก็ไม่เต็ม 100 เพราะมีตัวช่วยตั้งแต่การเริ่มเขียนรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเมืองด้านสิทธิประโยชน์ แทบทุกประเด็น
การเมืองจึงเดินหน้าไปไม่ได้และเป็นตัวถ่วงที่แก้ปัญหารุมเร้าประเทศนี้ไม่ได้เมื่อถึงทางตีบตัน ก็หาทางออกได้ยากเพราะมีกฎเกณฑ์ต่างๆ สกัดกั้นไปหมด
เมื่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ได้สร้างความไม่เสมอภาคและมีฝ่ายได้ประโยชน์ก็ทำให้แก้ไขยากทั้งยังเสี่ยงกับการเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความตึงเครียดการเผชิญหน้า และถ้าไร้ทางออก ก็อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้
การคงอยู่ของวุฒิสมาชิก 250 คนเป็นเรื่องพิสดารถึงขั้นผิดปกติจากการเมืองที่ควรจะเป็น เพราะทำให้เป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะในประเด็นผู้นำรัฐบาล
วุฒิสมาชิกไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนแต่มีอำนาจเลือกบุคคลให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้รับเลือกจากประชาชน
สภาวะเช่นนี้ยิ่งกว่าเป็นตลกร้ายทางการเมืองเพราะเป็นการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เป็นการหักดิบซึ่งหน้าซึ่งมีแต่การเมืองไร้จริยธรรมและยางอาย ที่ทำให้เกิดขึ้นได้
และกำลังเป็นชนวนวิกฤตยืดเยื้อเรื้อรังแก้ไขยากเมื่อฝ่ายปกป้องผลประโยชน์คือวุฒิสมาชิกไม่ยอมสูญเสียสถานภาพและอำนาจ
นอกจากเป็นฐานอำนาจ เป็นตรายางแล้ว สถาบันวุฒิสภายังถูกมองด้วยความหมิ่นแคลน ว่าไร้เกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือเพราะจะเป็นตัวปกป้องบุคคลที่ตัวเองเลือกมาโดยไม่คำนึงถึงหลักของความถูกต้องดีงาม
และนั่นรวมถึงผลประโยชน์แท้จริงของประเทศด้วย
การเมืองรวบอำนาจและเอาเปรียบผู้อื่นไม่เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยและเป็นตัวถ่วงทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งและการประลองกำลังทางการเมืองด้วย
สภาวะเช่นนี้ความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน เป็นปัจจัยสำคัญเพราะคนดีมีฝีมือความรู้ความสามารถไม่อยาก เข้ามาร่วม
ความยากเย็นแสนเข็ญในการเสาะหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาความน่าเชื่อถือหนักหนาสาหัส และคนที่กล้ารับจะต้องรู้ว่าปัญหาของบ้านเมืองยิ่งกว่าสาหัส
และความพยายามที่จะต้องอยู่ให้รอดจากการขัดผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆในรัฐบาลทำให้คนที่จะเข้ามายิ่งไม่กล้าเพราะเห็นว่าไม่คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากที่จะต้องรับศึกหลายด้าน
ยิ่งนโยบายรัฐบาลยามที่ต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจทำเหมือนกับการแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ แต่ละคนในคณะรัฐมนตรีต่างพยายามเอาตัวรอดและให้ตัวเองดูดี ก็ยิ่งทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวในการแก้ปัญหาเกิดขึ้นได้ไม่ง่าย
การไม่ยอมลงจากอำนาจโดยเชื่อว่ากลุ่มตัวเองเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้นั้น จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้วิกฤตที่เป็นอยู่ยุ่งยากและยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม
การเมืองที่ไร้สปิริต ขาดจิสำนึกในการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของชาติทำให้ประเทศอยู่ในสภาพน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
และการทุจริตทั้งกว้างและลึกต่อเนื่องผ่านเครือข่ายก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านรู้สึกวังเวงไร้ความหวังและติดอยู่ในกับดักที่โอกาสที่จะหลุดรอดไปได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญ
คงพูดไม่ผิดที่ว่า ประเทศไทยนั้นในกลุ่มผู้มีอำนาจไม่มีใครรักชาติจริง มีแต่กลุ่มผลประโยชน์ ผลัดเปลี่ยนหน้ากันเข้ามา เพื่อตักตวงผลประโยชน์
การแก้ไขปัญหาของประเทศไทยจึงยากกว่าที่ควรจะเป็น