"โสภณ องค์การณ์"
ประเทศไทยกำลังสูญเสียโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าเพราะยังติดหล่มจมปลักกับการเมืองที่มุ่งผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ประชาชนถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความหมาย โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลเจียดเงินมาช่วยเป็นการยื้อเวลา ไม่ให้มีวิกฤตคนลุกฮือ
บ้านเรายื้อทุกเรื่อง ตั้งแต่กระบวนการแก้ไขปัญหาเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญเป็นพิษ จากสาเหตุที่คนเป็นพิษ หลงใหลในอำนาจวาสนาและผลประโยชน์
ยื้อกระบวนการยุติธรรมอย่างหน้าไม่อาย ในกระบวนการเพื่อเอาผิดทายาทเศรษฐีขับรถชนคนตายแล้วหนี เมื่อจวนตัว ก็ทำเป็นขึงขังตั้งข้อหาใหม่ ออกหมายจับผ่านตำรวจสากล ทำเป็นเรื่องใหญ่ ขบวนการมหาวายร้ายตัวช่วยหลัก ยังอยู่สบาย
ก็บรรดาคนมีตำแหน่งใหญ่โต อิทธิพลกว้างขวาง แต่งเรื่องใหม่ ปั้นพยานเท็จ สร้างหลักฐานเท็จผ่านคณะกรรมาธิการ สนช. ตั้งโดยรัฐบาลจากรัฐประหารนั่นไง
ทุกวันนี้ยังไม่มีใครกล้าแตะ ทั้งๆ ที่เป็นตัวร้ายในการทำลายกระบวนการยุติธรรม เกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือของประเทศ ในนั้นมีแต่ผู้ใหญ่คนโต ตำแหน่งผ่านงานหลักๆ มาแล้วทั้งนั้น แต่มองดูแล้ว ยังไม่แน่ใจว่ามีคนดีอยู่ด้วยหรือไม่
บ้านนี้เมืองนี้ คนมีตำแหน่งใหญ่โตทั้งนั้นที่มีโอกาสได้เป็นอาชญากรในเครื่องแบบ หรืออาชญากรคอปกขาว โกงบ้านกินเมืองคำโต ผ่านเครือข่ายอำนาจซ้อนรัฐ เป็นหนึ่งเดียวกับพวกกุมอำนาจรัฐ เมื่อทำผิดกฎหมาย ไม่มีใครกล้าจัดการ
ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย อยู่เหนืออำนาจรัฐ คนธรรมดาสามัญ ไร้ตำแหน่งชื่อเสียงเงินทองจะมีปัญหาทำความชั่วร้าย โกงบ้านกินเมืองได้อย่างไร
บ้านนี้เมืองนี้ไม่ใหญ่โตอะไร อยู่ในวงการอะไรก็รู้จักกันหมด เมื่อไปพบกันในหลักสูตรสร้างเครือข่ายคอนเนกชันตามสถาบันต่างๆ ก็ยิ่งเป็นการกระชับความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์ ทำให้กระบวนการยุติธรรมไร้ความหมาย
ดูคณะกรรมาธิการที่ว่านั้น มีทั้งนายทหาร ตำรวจ อัยการ ตุลาการ ทนายความ นักกฎหมาย นักเซ็งลี้ พ่อค้า ข้าราชการเกษียณ เป็นเครือข่ายของเพื่อนพ้องน้องพี่ กลุ่มผลประโยชน์ คนนอกไม่มีโอกาสได้เข้าอยู่ร่วมด้วยช่วยกัน
คดีทายาทเศรษฐีที่ว่านั้น ประชาชนก็ได้เห็นฤทธิ์เดช พิษภัยจากบางพวกในคณะกรรมาธิการอย่างเต็มที่ ขั้นตอนการวิ่งเต้นช่วยเหลือคนกระทำความผิดให้รอดจากโทษอาญา ทำแม้กระทำสร้างหลักฐานเท็จ ปั้นพยานเท็จ ทำกันอย่างไม่อาย
รัฐบาลก็เห็นทนโท่ตำตา เป็นเจ้ากี้เจ้าการให้สอบสวนคดีทายาท เมื่อไปเจอขบวนการ Deep State ก็ไปไม่รอด ทำให้ประเทศไทยของหมู่เฮาเป็น Failed State อย่างหน้าชื่นตาบาน ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่อาย เพราะจำใจที่เป็นพวกเดียวกัน
เมื่อบ้านเราเป็น “รัฐล้มเหลว” ไม่มีใครรู้สึกร้อนหนาว หรือเดือดแค้น!
การเป็นรัฐบาล แต่ใช้อำนาจ Deep State ทำให้กฎหมายไร้ความหมาย การกระทำไร้การตรวจสอบ ยิ่งมีอำนาจพิเศษจากการรัฐประหาร ทำให้เกิดความเสียหายเชิงโครงสร้าง ข้าราชการ องค์กรอิสระบางแห่ง หรือส่วนใหญ่ต้องยอมสยบนิ่งสนิท
เพราะคำอ้างที่ว่า คณะรัฐประหารเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ซึ่งแปลว่าอะไรชาวบ้านทั่วไปไม่รู้ ไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าเป็นอำนาจเผด็จการ ส่วนใหญ่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ เมื่อทนเห็นนักเลือกตั้งรวยเร็วไม่ไหว ต้องขอมีโอกาสได้รวยบ้าง
การใช้อำนาจ Deep State ไม่ใช่เฉพาะในทางมิชอบ ในทางกฎหมายจากอำนาจที่เขียนเอง แต่งเองนั้น ก็แฝงด้วยผลประโยชน์เช่นกัน เป็นความเสี่ยงอาจเกิดความเสียหายมหาศาลต่อผู้อื่นที่ควรได้รับผลประโยชน์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เสมือนเป็นการ “ปล้นโอกาส” และปล้นทรัพย์สินผ่านนโยบายตามใจชอบ!
ดังเช่นกรณีใช้อำนาจพิเศษของคณะรัฐประหาร ปลดหลักเกณฑ์ควบคุมการใช้จ่ายเงินในการลงทุนของกองทุนประกันสังคม มูลค่าประมาณ 2.2 ล้านล้านบาทนั้น ที่ผ่านมามีรัฐบาลนักเลือกตั้งหลายชุดพยายามล้วงควักเอามาใช้จ่าย แต่ถูกต้าน
ต้องหดมือกลับไป สายตาจ้องเงินกองทุนตาเป็นมัน อยากได้ส่วนแบ่งใจแทบขาด เมื่อมาถึงยุคนักรัฐประหาร มีประการเปลี่ยนตัวคณะกรรมการผู้ควบคุม บริหาร จึงได้ถ่ายเงินออกอ้างว่าไปลงทุนในโครงการ กองทุน กิจกรรมต่างๆ เป็นก้อนใหญ่
อ้างว่าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ สรรหาคำพูดเพราะๆ มากรอกหูให้เคลิ้ม!
เพียงไม่กี่ปี เงินกองทุนที่ว่าเหลือเพียงแสนกว่าล้านบาท ความแตกเมื่อถึงคราวต้องเบิกมาช่วยแรงงานตกงาน หรือเลิกจ้างช่วงโควิด-19 ทำให้รู้ว่าเงินเกือบเกลี้ยง เอาไปลงทุนอะไรบ้างก็ไม่รู้ ผลตอบแทนเป็นอย่างไร ไม่รู้ชัด
มีคนสงสัยว่าคนตัดสินใจอนุมัติจ่ายออกไปลงทุน คงไม่ได้ทำเพราะมีกุศลจิต ไม่หวังผลตอบแทน เพราะยุค “เงินทอน” หรือ “ปากถุง” นั้น เป็นโอกาสมั่งคั่งสุดๆ
เรื่องพรรค์นี้ ใครมองโลกสวย คิดว่าไม่มีอะไรไต้โต๊ะนั้น เป็นอาการปัญหาอ่อนอย่างแรง เงินกว่า 2.2 ล้านล้านบาท คิดเปอร์เซ็นต์ต่ำก็เป็นแสนๆ ล้านบาทแล้ว เพียงแต่ว่าคนใช้แรงงาน เจ้าของเงินไม่รู้เรื่อง ไม่มีแรงโวย ด้วยมีอำนาจค้ำหัวปิดปาก
ถ้าไม่เกิดกรณี “ศรีพันวา” รีสอร์ท คงไม่มีใครสงสัย เพราะก่อนหน้านี้มีคนพยายามรื้อคุ้ย ตกใจที่เห็นว่าเงินไม่เหลือแล้ว แต่ไม่มีช่องทาง หรือเหตุ มาคราวนี้ ทำให้คนอยากตั้งคำถามว่า “เอาเงินส่วนของคนใช้แรงงานไปอุ้มธุรกิจเอกชนได้ไง?”
เงินกองทุนมี 3 ส่วน จากผู้ใช้แรงงาน นายจ้างและรัฐบาล ถ้าจะเอาไปใช้ อย่างน้อยกันส่วนที่เป็นของพนักงานไว้ก่อน เมื่อเอาไปแทบไม่เหลือแล้ว เกิดปัญหาหนักๆ ด้านเศรษฐกิจ ปากท้องของชาวบ้าน อย่างเช่นทุกวันนี้ ใครจะทำอะไรได้
ถ้าไม่มีอำนาจเหนือกฎหมาย จะเขียนกฎหมายเปิดช่องให้ใช้เงินก้อนนี้ได้หรือ และเงินกว่า 2 ล้านล้านบาทยังอยู่สบายดีหรือไม่ ยามเศรษฐกิจวิกฤตดังนี้
รัฐไทยโดน Deep State ทำให้เป็น Failed State โดยพฤตินัยสมบูรณ์ คดีทายาทเศรษฐีฟ้องให้เห็นชัด มีกรณี 2 มาตรฐานโดยองค์อิสระหลายเรื่อง สร้างความรู้สึกสมเพชเวทนาให้ประชาชนผู้รู้และผู้เป็นเหยื่อความอยุติธรรมอย่างมาก
เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีผู้กล้าออกมาเอะอะโวยวาย เดินตามแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พวกหิวกระหายอำนาจตั้งล่อไว้ บ้านเมืองจะย่ำแย่กว่านี้ เมื่อวิกฤตซ้ำเติมต่อเนื่อง
บนแผ่นดินนี้คนมีอำนาจทุกคณะ ไม่มีใครรักชาติจริง! มีแต่พวกกำมะลอ
กรณีคดี “เสี่ยไก่ เอื้ออาทร” และพวกที่มีเวลาติดคุกยาวรออยู่ ต้องรอผลสุดท้าย เพื่อดูว่าจะมีใครติดคุกจริงบ้าง... แต่พวกตัวเป้งๆ ยังอยู่สบายอีกเยอะ