การรับมือกับม็อบกับการประท้วง หรือการลุกฮือของพวกเด็กๆ เขา...สำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาคราวนี้ คงไม่ต่างอะไรไปจากการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” นั่นแหละทั่น!!! คือไม่ว่าเหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร โหด-เลว-ดี ไปในลักษณะไหน แต่อย่างน้อย...ก็น่าจะ “เบา” กว่าการรับมือบรรดาม็อบการประท้วง การลุกฮือของผู้คนในประชาธิปไตยเสรี อันเต็มไปด้วยสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
คือไม่ถึงกับต้องไล่ทุบ ไล่ตี ไล่กระทืบ เอาเข่ากดคอใครต่อใครจนหายใจไม่ทัน เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปแบบจะจะคาตาไม่ถึงกับต้องเผาโน่น เผานี่ รื้ออนุสรณ์ อนุสาวรีย์ลงมานอนกลิ้ง นอนหงาย หรือถึงกับไล่ยิง ไล่ฆ่า ไล่ปล้น ฯลฯ ไปเลยถึงขั้นนั้น ด้วยเหตุนี้คงไม่น่าจะต้องไปเสียเวลา “ดราม่า” อะไรกันมากมาย สู้หันมาเปิดฉากสัปดาห์นี้ ด้วยการเปิดฝาเข่ง...หันไปดูการไล่เบียด ไล่บี้ การยื้อแย่งแข่งขัน เพื่อชิงตำแหน่ง “ทีแอ๋เต้ยอิด” (เหนือแผ่นดินจรดฟากฟ้ามีแต่เราเป็นหนึ่ง) ระหว่างมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีน...น่าจะเหมาะกว่า เพราะอาจเป็นอะไรที่สามารถส่ง “ผลกระทบ”ต่อประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ได้เสมอๆ...
เพราะเมื่อมาถึงช่วงระยะนี้ อาจต้องเรียกว่า...คงแทบไม่ต้องไปเสียเวลาสนใจกับข้อมูล ตัวเลขสถิติ อันว่าด้วย “คะแนนนิยม”ของ 2 คู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกัน ว่าจะเป็นไปในแบบไหน ในลักษณะไหน คือไม่ว่า “โจซึมเซา” จะทำคะแนนทิ้งห่าง ทิ้งขาด “ทรัมป์บ้า” ไปแล้วกี่จุด กี่เปอร์เซ็นต์ ก็ตาม เพราะที่น่าสนใจยิ่งกว่า...น่าจะเป็นข้อมูล ตัวเลขสถิติของหน่วยงานด้านงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ เอง คือหน่วยงาน “The United States’s Federal Budget” ที่ออกมาเปิดเผย มาแถลงอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงวันศุกร์ (16 ต.ค.) ที่ผ่านมา ถึงสถานะ “ดุลงบประมาณ” รัฐบาลสหรัฐฯ ที่พอสรุปได้ว่าตัวเลขการ “ขาดดุลงบประมาณ” ในช่วงสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายนปีนี้ หรือปี ค.ศ. 2520 ได้ปาเข้าไปถึงประมาณ 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 90 ล้านล้านบาทไทยเป็นอย่างน้อย หรือเท่างบประมาณทั้งมวล ที่ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทย จะสามารถนำไปใช้ได้ไม่ต่ำกว่า 20-30 ปี เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจเอามากๆ เพราะอาจถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความอ้วกแตก อ้วกแตน ชนิดไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดินประเทศอเมริกา มีแต่ต้องท้องเฟ้อเรอเปรี้ยวไปด้วยกันทั้งสิ้น เรียกว่า...ถือเป็นตัวเลขขาดดุลงบประมาณสูงสุด กว่าตัวเลขสถิติใดๆ เท่าที่เคยมีมา หรือสูงไปกว่าตัวเลขขาดดุลงบประมาณทั้งปี เมื่อช่วงปีที่แล้ว (2019) เกือบ 3 เท่าเอาเลยก็ว่าได้ เพราะปีที่แล้ว ถึงแม้ขาดแบบน่าจะขาดตายเอาเลยก็ว่าได้ ก็ยังขาดเพียงแค่ 984,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง แต่เมื่อต้องเจอภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19”ที่ส่งผลให้ตัวเลข “รายได้”ของประเทศลดลงไปถึง 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ ยังต้องเจอกับตัวเลข “รายจ่าย” เพื่อหาทางกอบกู้ เยียวยา อะไรต่อมิอะไรต่างๆ ระดับ 6.55 ล้านล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย อันทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณปีนี้ สูงซะยิ่งกว่ายุครัฐบาลโอบามา ที่เคยควักเม็ดเงินภาษีราษฎรแทบทั้งประเทศ ไปแบกหนี้ หัก-ลบ-กลบหนี้ ให้กับบรรดาธนาคารและสถาบันการเงินในยุควิกฤตการเงินปี ค.ศ. 2008 ที่ส่งผลให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณพุ่งขึ้นไปถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์...
ส่วนที่น่าหวาดหวั่นขวัญสยอง น่าขนลุกขนพองยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือตัวเลขสถิติจาก “โพลวิจัย” ของสำนักวิจัยระดับชาติ อย่าง “Associated Press-NORC”ที่ถือเป็นศูนย์กลางการวิจัยความคิดสาธารณะ ที่ออกมาสรุปแบบชัดเจน ตรงไป-ตรงมา จากผลวิจัยคราวล่าสุด ถึงอารมณ์-ความรู้สึกของบรรดาอเมริกันชนที่มีต่อ “ระบอบประชาธิปไตยอเมริกา” หรือระบอบที่บรรดาหนูเล็กๆ และเด็กๆ ทั้งหลายในบ้านเรา ปรารถนาและต้องการซะเหลือเกิน ปรากฏกว่า...85 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาอเมริกาชน ต่างรู้สึกสิ้นหวัง หมดหวังต่อประชาธิปไตยอเมริกาไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว เหลือแค่ 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ที่ยังคิดว่าการแข่งขันช่วงชิงชัยชนะระหว่าง “โจซึมเซา” และ “ทรัมป์บ้า” อาจทำให้อะไรต่อมิอะไรดูดีขึ้นมาได้มั่ง หรือเหลือแค่ 1 ใน 6 ของปวงชนอเมริกันเท่านั้น ที่ยังคง “หวังลมๆ แล้งๆ”ต่อระบอบประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกัน แต่โดยส่วนใหญ่กลับเห็นว่า...ความเป็นประชาธิปไตยของอเมริกากำลังก้าวไปสู่ “หนทางที่ผิดพลาด”และกำลังทำให้สังคมอเมริกันถูก “แบ่งแยก”ด้วยทัศนคติและความเห็นที่ผิดแผกแตกต่างไปจากกันและกันยิ่งเข้าไปทุกที โดยความคิด ความเห็น ในลักษณะเช่นนี้ ใช่ว่าเพิ่งจะมาเกิดขึ้นช่วงนี้ เพราะก่อนหน้านั้น เมื่อช่วงต้นปี ค.ศ. 2020 จากการสำรวจวิจัยความคิดเห็นโดยสถาบันวิจัย “Pew Research”ก็พบว่าชาวอเมริกันไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เริ่มคิดเห็นไปในแนวดังกล่าว แต่พอช่วงปลายปีความคิดเห็นในลักษณะที่ว่านี้ ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นๆ ไปถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ไปแล้วถึงขั้นนั้น...
แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า...ขณะตัวเลขสถิติต่างๆ นานา กำลังเป็นตัวบ่งชี้ถึงความใกล้เจ๊ง ใกล้ฉิบหายของสังคมอเมริกันอย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที การป่าวประกาศถึงตัวเลขสถิติของประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีน เมื่อช่วงวันศุกร์ (16 ต.ค.) กลับเป็นไปในทิศทางตรงข้าม แบบชนิดพลิกหลังตีนเป็นหน้ามือเอาเลยก็ว่าได้ นั่นคือตัวเลข “GDP”ช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของจีน ที่ว่ากันว่า...น่าจะโต 5 หรือโต 7 เอาเลยถึงขั้นนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีนกำลังกลับเข้าสู่ภาวะ “ปกติ” หรือภาวะก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” อย่างเห็นได้โดยชัดเจนคือขณะตัวเลข “นำเข้า” โตวัน-โตคืนมาตั้งแต่เดือนกันยาฯ ตัวเลข “ส่งออก” ก็ค่อยๆ ขยายตัว จนผลผลิตมวลรวมช่วงเดือนกันยาฯ สูงถึง 51.5 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าเดือนสิงหาฯ ที่อยู่ที่ประมาณ 51 เปอร์เซ็นต์ หรือโตมาตลอดช่วงระยะ 7 เดือนที่ผ่านมา...
โดยตัวเลขสถิติที่ว่านี้...ไม่ใช่แต่เฉพาะนักวิเคราะห์ หรือสถาบันเศรษฐกิจของจีน จะเห็นไปในแนวนี้เท่านั้น กระทั่งนักวิเคราะห์และสถาบันเศรษฐกิจตะวันตก ไม่ว่าหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ “Fitch Ratings”อย่าง “นายBrian Coulton” รายงานเศรษฐกิจจากสถาบัน “Nomura”ไปจนถึงสถาบัน “Investment Research Institute” ฯลฯ ฯลฯ ต่างเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกันว่า “เศรษฐกิจจีน”กำลังแสดงลักษณะการโตแบบ “V-shaped”หรือกำลังหวนกลับมาโตตามปกติได้แบบตัวอักษรตัว “V” ของฝรั่งเอาเลยถึงขั้นนั้น อันจะทำให้ตัวเลข “GDP” ไตรมาส 3 ของปีนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.2 เปอร์เซ็นต์ และอาจโตไปถึง 7 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาส 4 หรือโดยเฉลี่ยทั้งปีน่าจะโตไม่ต่ำไปกว่า 2.7-3.3 เปอร์เซ็นต์ จนอาจเรียกได้ว่า...ถือเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักประเทศเดียวในโลก ที่ยังสามารถรักษาระดับการโตได้โดยตลอด ขณะประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพ่ออเมริกา มีแนวโน้มที่จะ “ติดลบ” ไม่น้อยไปกว่า 4.3 เปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้ ตามตัวเลขของ “IMF”ส่วนอังกฤษอาจติดลบถึง 9.8 ญี่ปุ่นอาจลบ 5.3 ฯลฯ ไล่เรียงไปตามลำดับ ฯลฯ...
ซึ่งการดิ้นรนมาถึงจุดๆ นี้ของจีน...ใช่ว่าจะปอกกล้วยเข้าปากซะเมื่อไหร่ อย่างที่ “Serena Chen”แห่งบริษัท “Guangzhou-base company” หรือ “Zhang Hongshen”แห่งบริษัทผลิตเสื้อผ้า สิ่งทอ เมือง “Nantong” จังหวัดเจียงซู ว่าเอาไว้นั่นแหละว่าต้องอาศัยความร่วมมือ-ร่วมใจของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนแบบสุดฤทธิ์ สุดเดช หรือ “จุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจจีนเริ่มต้นเมื่อรัฐบาลเข้าแทรกแซง โดยเฉพาะการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้อย่างรวดเร็วเอามากๆ พร้อมการสนับสนุนให้รัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจ”การปรับเปลี่ยนทิศทางการผลิต การออกแบบผลผลิตใหม่ๆ เช่น เปลี่ยนโรงงานผลิตเสื้อผ้าให้กลายเป็นโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแบบฉับพลัน-ทันที การสร้างความปลอดภัยในการควบคุมโรคระบาด จนทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนประมาณ 637 ล้านคน สามารถเทียวมา-เทียวไปภายในบ้านตัวเองได้แบบสบายใจเฉิบ สร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 466,000 ล้านหยวน หรือ 69.9 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ปีที่แล้ว ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่อาจถือเป็นอนุสสติ เป็นอุทาหรณ์สอนใจ หรือเป็น “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า”...ไม่ว่าความสำเร็จ ความล้มเหลวของชาติหนึ่ง-ชาติใด เอาไป-เอามาแล้ว...อาจไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” หรือ “เผด็จการ” มากมายสักเท่าไหร่ แต่น่าจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า “ความร่วมมือ-ร่วมใจ” หรือความเป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกันของชาตินั้นๆ นั่นแหละ...เป็นสำคัญ!!!!