ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สะเทือนเลื่อนลั่นปฐพี
กับฉากปรากฏกายของ “นายหญิงใหญ่” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร
ด้วยเป็นการปรากฏกายในห้วงเวลา “ได้-เสีย” ที่อุณหภูมิการเมืองกำลังทะยานสู่จุดเดือด จากทั้งม็อบข้างถนน จากทั้งการเมืองในสภาฯ ที่กำลังโรมรันพันตูกับเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560
ไม่เพียงเท่านั้น ก้าวย่างของ “หญิงอ้อ-พจมาน” ยังถูกมองว่า เป็นการเขย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ใน “ค่ายเพื่อไทย” เมื่อแกนนำระดับหัวแถวในปีก “เจ้าแม่นครบาล” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ทยอยไขก๊อกพ้นตำแหน่งบริหาร-เก้าอี้สำคัญภายในพรรคกันเป็นแถว
โดยตัว “เจ๊หน่อย-สุดารัตน์” ประเดิมลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ตามด้วยบรรดา “ลูกหาบ” ใน “ก๊วน กทม.-ทีมยุทธศาสตร์” ต่างทยอยไขก๊อกตาม “เจ๊หน่อย” เป็นแถว ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยยุ” จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. ลูกหม้อในแก๊งเด็กเจ๊ที่ชิ่งจากรองเลขาธิการพรรคฯ ทันที
หรือรายของ “ผู้การป๊อบ” น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ที่ร่อนใบลาจากเลขาธิการพรรคไม่ทัน แต่ก็โพสต์ซึ้งบอกว่า “ใจผมออกตามพี่หน่อยไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วครับ”
ที่สุดหัวหน้าพรรค “เฮียพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ต้องลาออกเพื่อเปิดทางให้ “เซตซีโร” เลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ทั้งกระบิ ไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย.63 ที่ผ่านมา
ที่ช้ำไม่แพ้ใครคงเป็นทีมมันสมอง โภคิน พลกุล - พงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ว่ากันว่า มีการปิดห้องเคลียร์ใจกันอย่างดุเดือด ก่อนตัดสินใจตีจากกรรมการยุทธศาสตร์ แม้ถูกทัดทานไว้ก็ตาม
ด้วยมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “ฟางเส้นสุดท้าย” คือคำกล่าวในทำนอง “พรรคนี้คือธุรกิจครอบครัว ถึงเวลาต้องนำมาใช้ต่อรองเพื่อคนในครอบครัว”
ถือเป็นคำกล่าวที่ขยี้น้ำใจ “คนทำงาน” จากที่เคยได้รับมอบ “อำนาจสิทธิ์ขาด” ให้สร้าง “สถาบันการเมือง” ที่ทุกคนเป็นเจ้าของ กลับไปเป็น “กงสีตระกูลชินฯ”
เรียกว่า “เซตซีโร” หมุดหมายความเป็น “สถาบันมหาชน” กลับคืนสู่ “สถาบันครอบครัว” เหมือนสมัย “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” อีกครั้ง
ทั้งที่เคยประกาศให้เลี่ยงการใช้ “คนในตระกูล” ขจัดภาพ “ระบอบชินดาวงศ์” (ชินวัตร - ดามาพงศ์ - วงศ์สวัสดิ์) เพื่อลดแรงเสียดทานทางการเมือง เมื่อการเลือกตั้งต้นปี 62
“เจ๊ใหญ่” มา “เจ๊หน่อย” ต้องถอย
หลังจากที่ “สมพงษ์” ตัดสินใจลาออก ไม่ถึงสัปดาห์ ก็มีนัดหมายการประชุมวิสามัญเพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม ภายในพรรค ให้เกิดภาพความขัดแย้งซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก
แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน เมื่อ “แก๊ง ส.ส.อีสาน” ที่มี ส.ส.มากที่สุด ก็มาตามนัด รีบออกมาเขย่า โยนชื่อบรรดา ส.ส.ที่มีความอาวุโสมากดดันขอโอกาสในการเป็นหัวขบวนของพรรคบ้าง โดยจุดพลุชื่อ “ครูสุทิน” สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ว่าเหมาะควรกับเก้าอี้ “ผู้นำพรรค”
ทาง “ครูสุทิน” เองก็ “ไม่มีเหนียม” จัดแจงแชร์ข่าวคนในพรรคผลักดันให้เป็นหัวหน้าพรรคในเฟซบุ๊กตัวเอง แถมหล่นคำสัมภาษณ์ก็ไม่มีวรรคตอนไหนที่จะ “ปฏิเสธ” ตามธรรมเนียม
ทว่าด้วยชื่อชั้น พรรษาการเมือง บารมีต่างๆ “ยังไม่ถึง” เมื่อเทียบกับ “สมพงษ์” ที่แม้จะโรยรา แต่ก็สะสมบารมีเก่าเก็บ มีคอนเนกชันกว้างขวาง
จึงเป็นอีกครั้งที่ ส.ส.อีสานไม่ได้อยู่ในสายตา “ผู้ตัดสินใจ” ก่อนเคาะคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ออกมา โดยมี “สมพงษ์” เป็นหัวหน้าพรรค และจะได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอีกสมัย
พร้อมด้วย รองหัวหน้าพรรค 10 คน ประกอบด้วย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ, กิตติรัตน์ ณ ระนอง, ชูศักดิ์ ศิรินิล, เกรียง กัลป์ตินันท์, ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร, พิชัย นริททะพันธุ์, สุทิน คลังแสง, ไชยา พรหมา, พล.ต.อ.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ และ อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด
ขณะที่เลขาธิการก็เป็นตามโผ “เฮียเสริฐ โคราช” ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และมีรองเลขาธิการพรรค 5 คน ที่ล้วนแล้วแต่เป็น “คนรุ่นใหม่” ประกอบด้วย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่, จิรวัฒน์ ศิริพาณิชย์ ส.ส.มหาสารคาม, เผ่าภูมิ โรจนสกุล มือขวาของ “เสี่ยอ้วน-ภูมิธรรม”, คุณากร ปรีชาชนะชัย ส.ส.สุรินทร์ และ นพ ชีวานันท์ ส.ส.อยุธยา ทายาทตำนานการเมือง “พ้อง ชีวานันท์”
เหรัญญิกพรรค เป็น ธีรรัตน์ สำเร็จวณิชย์ ส.ส.กทม. ขณะที่นายทะเบียนสมาชิกพรรค จักรพงษ์ แสงมณี คนเดิม
โฆษกพรรคเปลี่ยนเป็น “ดร.หญิง” อรุณี กาสยานนท์ และมีกรรมการบริหารพรรค 4 คน ประกอบด้วย ชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม, สรวงศ์ เทียนทอง อดีต ส.ส.สระแก้ว ทายาท “ป๋าเหนาะ” เสนาะ เทียนทอง, องอาจ วงษ์ประยูร ส.ส.สระบุรี และ พรเทพ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์
สิริรวมกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่มีทั้งสิ้น 24 ชีวิต จากข้อบังคับพรรคที่มีได้มากที่สุด 29 คน ถือเป็นทีมบริหารที่ยังเต็มไปด้วย “หน้าเก่า” และแซมด้วย “คนรุ่นใหม่” เพื่อให้เข้ายุค
เมื่อเจาะลึกไปถึงปูมหลังของทีมบริหารแต่ละคนก็พบว่า ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็น “สายตรงนายใหญ่-นายหญิง” แทบทั้งสิ้น และที่ชัดๆ ก็คือ ขาดส่วนผสมของ “ทีมเจ๊หน่อย” อย่างเห็นได้ชัด มีเพียง “กัปตันป๊อป - อนุดิษฐ์” รายเดียวเท่านั้นที่หลงเหลือ
ถือเป็นการเพิ่มน้ำหนักกระแสข่าวที่ว่า “เจ๊หน่อย” ต้องหลบ เพราะ “นายหญิงอ้อ” จะกลับมาบัญชาการด้วยตัวเอง
โดยจะมีการตั้ง “ซูเปอร์บอร์ด” คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองขึ้นมาอีกชุดอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อทำหน้าที่ในลักษณะ “โปลิตบูโร” ควบคุมการบริหารงานแบบเบ็ดเสร็จ คล้ายกับที่มักใช้กับพรรคคอมมิวนิสต์ในต่างประเทศ
แน่นอนว่าหัวโต๊ะย่อมเป็นใครไม่ได้นอกเสียจาก “คุณหญิงพจมาน” โดยมี “เจ๊แจ๋ว” จุฑารัตน์ เมนะเสวต เพื่อนร่วมรุ่นเซนโยฯ ของ “คุณหญิงพจมาน” ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทยระยะหนึ่งแล้วเป็นผู้ประสานงานสั่งการ
ขณะเดียวกันก็เรียกตัว “เสนาธิการชินฯ” ที่อยู่ในคอนโทรลของ “นายใหญ่ - นายหญิง” ตลอดจน “2 นางพญา” อย่าง “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมาขับเคลื่อนพรรคทั้งหมด
โดยเฉพาะ “กลุ่มแคร์” ที่ “ผีไม่เผา” กับ “ทีมเจ๊หน่อย” ถูกดึงกลับมาทั้งหมด ทั้ง “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตเลขาธิการพรรค ที่เดิมช่วยงาน “สมพงษ์” อยู่ในฐานะที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านฯ พร้อมด้วย “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ทีมมันสมองตัวกลั่นสมัย “ไทยรักไทย” เรืองอำนาจ
นอกจากนี้ยังมีการทาบทามคนเก่าของ “ขั้วทักษิณ” โดยเฉพาะ “อดีตไทยรักษาชาติ” ทั้ง “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯ หรือบรรดาแกนนำเสื้อแดง ให้กลับมาช่วยงานด้วย
เฉกเช่นเดียวกับตัว “คุณหญิงสุดารัตน์” ที่ถูกชักชวนมาร่วมคณะ “โปลิตบูโร” แต่แนวโน้มคงจะปฏิเสธ และน่าจะถอยห่างออกไปเรื่อยๆ
เพราะรู้ดีว่า “นางพญาตัวจริง” ที่เป็น “เจ้าของพรรค” กำลังกลับมาปั้น “กงสีตระกูลชินฯ” อีกรอบ
จับตา “ชินวัตร” สู้หรือหมอบ
ไม่เพียงแต่ภายในพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่ได้รับแรงสะเทือนจากแอกชันของ “หญิงอ้อ” ยังต้องเดาทางไปถึงเกมของพรรคร่วมฝ่ายค้านต่อไปในอนาคต เมื่อ “เสาหลัก” อย่างพรรคเพื่อไทย มีแนวโน้มจะเปลี่ยนนโยบาย
มีการโยนคำถามแรงๆว่า เปลี่ยนม้ากลางศึกเช่นนี้ “สู้” หรือ “หมอบ” กันแน่
หมุดหมายสำคัญคือ ไม่เพียงแต่ความพยายามในการพลิกขั้ว แต่สำคัญกว่านั้นคือ การนำตัว 2 อดีตนายกฯ หนีคดี “พี่ษิณ” ทักษิณ ชินวัตร และ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมาตุภูมิแบบ “ไร้มลทิน”
ดังที่เคยพยายามมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และครั้งหนึ่งที่ “ตีโง่” ไปกับ “พ.ร.บ.นิรโทษฯ สุดซอย” ที่เป็นเหตุให้ “รัฐบาลน้องสาว” ถูกยึดอำนาจ จนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่แปลงกายมาเป็น “รัฐบาลประยุทธ์” รวบอำนาจเบ็ดเสร็จก้าวย่างเข้าปีที่ 7 และมีแนวโน้มจะต่อท่ออำนาจต่อไปได้อีกหลายปี
การขยับออกมาถือธงนำของ “หญิงอ้อ” ที่มี “เซียนการเมือง” อยู่รายรอบตัว คงไม่ใช่การทิ้ง “ไพ่ใบสุดท้าย”
แต่คงต้องมองให้ “เหนือชั้น” ว่าเป็นการ “เล่นไพ่หลายหน้า” มากกว่า
ทางหนึ่งก็มีข่าวกระเซ็นกระสายมาตลอดว่า “หญิงอ้อ” ยังเดินเกมเชื่อมสัมพันธ์ในระดับ “ไฮพาวเวอร์” มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายของ “พี่ใหญ่รัฐบาล” ที่ว่ากันว่าต่อสายหากันได้ตลอด
จนถูกจับเชื่อมโยงกับคราวที่ “ยอดชายนายโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร พ้นมลทินคดีฟอกเงินกรุงไทย เมื่อไม่นานมานี้ด้วย
อย่างไรก็ดีครั้น “ค่ายเพื่อไทย” จะหมอบราบคาบเกมในระบบ ปล่อยให้ยอด ส.ส.เป็นกราฟตัวตก ก็ไม่ส่งผลดีกับการเจรจาต่อรองในอนาคต ดังนั้นโจทย์สำคัญคือ การรักษาระดับในการเป็น “พรรคเบอร์หนึ่ง” มีจำนวน ส.ส.มากพอที่ชี้ “เป็น-ตาย” เกมในสภาฯให้ได้
ปฏิบัติการ “รีเซต” คณะกรรมการบริหารพรรค และลดบทบาท “ทีมเจ๊หน่อย” ลงนั้น หาใช่ต้องการ “พลิกขั้วอำนาจ” ในเร็ววันนี้ แต่เป็นการเตรียมการเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ในเร็วๆ นี้ ที่แนวโน้มคาดว่าจะกลับมาใช้ “บัตร 2 ใบ” ที่ส่งผลดีกับ “พรรคใหญ่”
แน่นอนว่าหากใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบจริง ทางหนึ่งส่งผลดีกับ “ค่ายเพื่อไทย” แต่อีกทางปฏิเสธไม่ได้ว่า “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่มีสรรพกำลังมากกว่า ทั้งในแง่ทุนรอน หรืออำนาจในมือ
ถือว่าคุ้มที่จะเสี่ยง เพราะแม้จะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่การันตีได้ว่า “ค่ายเพื่อไทย” จะมี ส.ส.มากขึ้น จากคะแนนหล่นน้ำ ที่ทำให้งวดนี้ไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ แม้แต่รายเดียว
ในขณะที่หากยังให้ “หญิงหน่อย” ถือสิทธิ์ขาดในการกุมบังเหียนพรรค ก็จะไม่สามารถดึงมือไม้คนทำงานกลับมาร่วมขับเคลื่อนพรรคได้ เพราะแต่คนถือเป็น “ดาวฤกษ์” ที่อยู่ในระดับเดียวกับ “สุดารัตน์” ทั้งสิ้น จึงจำเป็นต้องขยับ “เจ้าแม่นครบาล” ออกไปจากกระดานก่อน
เป็นจังหวะเหมาะเจาะพอดิบพอดีกับที่ “ทีมเจ๊” เริ่มมี “ความไม่สบายใจบางประการ” ในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน กับข้อครหาว่าพรรคเพื่อไทยมีส่วนสนับสนุน “ม็อบข้างถนน” ด้วยวาระเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ “ปีนบันได ไต่เพดาน” ชักเลยเถิดไปไกล
ข้อหา “ขนคนร่วมม็อบ” ไปจนถึง “ล้มเจ้า” ถูกสาดซัดเข้าใส่ “แกนนำทีมเจ๊” ไม่หยุดหย่อน
แล้วยังปรากฏ “สายเหยี่ยว” ที่เพิ่งติดป้าย “ส.ส.ป้ายแดง” อันมีคอนเนกชันกับ “นายหญิงลอนดอน” โผล่ไป “สอดส่อง” ในที่ชุมนุมอย่างผิดสังเกต เกิดเป็นคำถามในใจเช่นกันว่า สรุปแล้วพรรคที่ตัวเองมีตำแหน่งแห่งที่อยู่นั้น “หนุนม็อบ” กับเขาด้วยหรือไม่
มีการพูดไปถึงขนาดว่า คนเป็น “พี่ชาย” ยังพูดไม่ออกบอกไม่ถูก กับหมากของ “น้องสาว” ที่ดูจะเห็นดีเห็นชอบไปกับการสนับสนุนม็อบ
เมื่อ “ทีมงานเจ๊หน่อย” ที่ต่างยืนยันว่ายึดมั่น “เกมในระบบ” มาสุมหัวกัน ก็ได้ข้อสรุปว่า หากคลุมเครือจนถูกกล่าวหา “เหมาเข่ง” โยงกับ “ม็อบล้มเจ้า” เช่นนี้ ก็ขอเฟดตัวไปอยู่เบื้องหลังดีกว่า อันเป็นจังหวะเดียวกับที่ “หญิงอ้อ” เริ่มเข้ามา “ล้วงลูก” การบริหารจัดการในพรรคผ่าน “เลขาฯส่วนตัว” มากขึ้น
อย่างที่บอก “หญิงอ้อเอฟเฟกต์” ไม่ใช่แค่สะเทือนสมรภูมิการเมืองในระบบเท่านั้น ยังสะเทือนไปถึงฟากฝั่ง “ม็อบปลดแอก - ม็อบเพนกวิน” อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
เหตุเพราะ “สายมโน” ตีความกันไปไกลถึงว่า ประเทศไทยอาจจะได้ “รัฐบาลแห่งชาติ” กันในเร็วๆ นี้
หรือขนาดอาจมีชื่อ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กลับมาเป็นนายกฯ
การคัมแบ็กมาอยู่กลางสปอตไลท์ของ “หญิงอ้อ” อดีตภรรยาสุดที่รักของ “นายใหญ่” จึงทำเอา “ม็อบไต่เพดาน” ที่กำลังไล่กดดันรัฐบาล จุดพลุข้อเรียกร้องหวือหวา อย่างเมามัน มีอันต้อง “ชะงัก” หันมามองหน้ากันเองเลิ่กลั่กว่า “เกิดอะไรขึ้น” เช่นกัน
นอกเหนือการประกาศยกระดับการชุมนุมที่ยืดเยื้อมากขึ้นเป็น 7 วัน 7 คืน ในช่วงวันรำลึกเหตุการณ์ “14 ตุลาฯ มหาประชาชน”
จนถูกมองว่าเป็นยุทธการ “ชักฟืนออกจากกองไฟ”
แต่เอาเป็นว่า สายมโน “รัฐบาลแห่งชาติ” ยังทำได้แค่มโน เพราะไทม์มิ่งวันนี้ยังไม่ได้และยังไม่เอื้อ ที่สำคัญ “รัฐบาลลุงตู่” ยังกุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ “การ์ดรัฐบาลแห่งชาติ” ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องงัดออกมาใช้
ไม่แปลกที่ “คีย์แมนรัฐบาล” ทั้ง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะถือแต้มต่อที่เหนือกว่าอยู่ดีๆ จะไปลาก “ศัตรู” เข้ามาแชร์อำนาจทำไมให้เสียเรื่อง
ยกเว้นเดือน ต.ค.นี้ที่มีวันสัญลักษณ์มากมาย การเมืองบนถนนจะร้อนแรง และล่อแหลมมากแค่ไหน ถ้าปั่นกระแสจนเกิดโกลาหล-จลาจล สูตร “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่เป็นเฟส 2 ของยุทธการ “ชักฟืนออกจากกองไฟ” อาจจะมีความเป็นไปได้ขึ้นมาหน่อย
ส่วน “ทีมหญิงอ้อ” จะยืนหยัด “สู้” หรือจะ “หมอบ” และบ่ายหน้าเข้าร่วม “รัฐบาลแห่งชาติ” ยังต้องติดตามกันไปยาวๆ
ปลายทาง “เลือดแท้” คุมพรรค
ในความจริงการผ่าตัดพรรคเพื่อไทยครั้งใหญ่นี้ เดิมทีจะมีการปรับเปลี่ยนกันตั้งแต่เมื่อครั้งประชุมใหญ่ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.ค. 2563 ทว่า ติดเรื่องตำแหน่งสำคัญของ “เฮียพงษ์” ที่สวมหมวก “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ” อยู่อีกใบ จึงยื้อกันมาจน “ฝีแตก” เป็นไฟต์บังคับให้เกิดการปรับทักกันใหม่
โดยที่ “เฮียพงษ์-สมพงษ์” ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย
อย่างไรก็ดี แม้ “สมพงษ์” จะมีชั่วโมงบินสูง แต่ก็อยู่ในวัยที่โรยรา ก้าวย่างเข้าสู่หลัก 8 ในความเป็นจริงจึงไม่ใช่ “ตัวเลือกในใจ” ของ “ตระกูลชินวัตร” ในการมอบหมายให้นำทัพเพื่อไทย
หากแต่ในฐานะพรรคฝ่ายค้านที่มี ส.ส.มากที่สุด ซึ่งหัวหน้าพรรคมีสิทธิ์ในการเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรโดยตำแหน่ง โดยต้องมีสถานะเป็น ส.ส. เมื่อกวาดสายตาดูแล้ว ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยกว่า 130 ชีวิตหลังการเลือกตั้ง มี.ค.62 ส่วนใหญ่ “พรรษาไม่ถึง” เพราะระดับ “ตัวจริง” ส่วนใหญ่อยู่ในบัญชีรายชื่อ รวมไปถึง “คุณหญิงสุดารัตน์” ด้วย
การที่จะทิ้งว่าง “ตำแหน่งโปรดเกล้าฯ” ก็ใช่ที่ จึงจำเป็นที่ต้องมี “ผู้มีบารมี” มาประคับประคองนำพรรค
เห็นจะมีก็แต่ “สมพงษ์” เจ้าของตำแหน่ง ส.ส. 7 สมัย รัฐมนตรี 8 สมัย ที่จะเป็น “ตัวเลือกที่ดีที่สุด” ในยามนี้สำหรับการขึ้นนำพรรคเพื่อไทย และได้รับการเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคครั้งแรก เมื่อเดือน ก.ค.62 และอีกสมัยในครั้งนี้
อาจพูดได้ว่า การเป็นหัวหน้าพรรคของ “สมพงษ์” เป็นแค่วาระ “ขัดตาทัพ” เพื่อรอ “ตัวจริง” ในระหว่างจัดทัพเพื่อไทยใหม่ ภายใต้การคอนโทรลของ “โปลิตบูโร” เท่านั้น
เพราะตามสไตล์ “นายห้างทักษิณ” แล้ว ไม่เคยไว้วางใจใครนอกจาก “เลือดแท้”
เห็นได้ชัดหลายๆ กรณีศึกษา ทั้ง “ลุงหมัก” สมัคร สุนทรเวช ที่แม้ส่งถึงฝั่งฝันได้เป็นนายกฯ แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ก็โดน “หักหลัง” แล้วส่ง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย ที่เป็นสามี “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเถลิงอำนาจแทน
กระทั่ง “สุดารัตน์” เองก็เป็นหลายเป็น “เหยื่อ” ที่แม้ได้ “อำนาจสิทธิ์ขาด” มากเพียงใด แต่ “เจ้านาย” ก็ดันไม่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ เต็มอัตรา 3 คน ที่พรรคการเมืองใหญ่ไม่ทำกัน หรือการผุด “พรรคแบงก์ย่อย” ทั้ง “ไทยรักษาชาติ - เพื่อธรรม” ไว้อีกทางหนึ่ง หรือการถูก “ล้วงลูก” สารพัดในช่วงการทำงานยุทธศาสตร์ ที่สุด “เจ๊หน่อย” จำต้องชอกช้ำลดบทบาทตัวเองในวันนี้
ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า หากใกล้เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง “นายใหญ่-นายหญิง” ต้องเคาะโต๊ะอีกครั้งสำหรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค รวมไปถึงแคนดิเดตนายกฯ ระหว่างนี้ก็ให้ “ทีมโปลิตบูโร” เข้าประจำการเพื่อปรับทิศทางให้ราบรื่น เตรียมรอถึงวันนั้นมากกว่า
อย่างไรก็ดี ข่าวคราวการเรียก “เสี่ยทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม เจ้าของสมญา “รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” กลับพรรค เพื่อมาชูเป็นนายกฯในการเลือกตั้ง ก็หาใช่ไม่มีมูล
แม้ “ชัชชาติ” จะออกตัวแรงประกาศตัวลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระ ไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อมีการประเมินว่า สนาม กทม.อาจจะไม่หมูอย่างที่คิด ทั้งกระแส “ชนชั้นกลาง” ที่ไม่เคยอินกับ “ระบอบทักษิณ”
จนทำให้เก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.เป็นเสมือน “สนามปราบเซียน” ที่ “เครือข่ายทักษิณ”
ภาพลักษณ์ที่ดีของ “ชัชชาติ” ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับ “อดีตนายกฯ ปู” จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อสนามใหญ่มากกว่าเอาชื่อไปทิ้งที่สนามเล็ก
อีกทั้งยังมีข่าวหนาหูว่า “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สนใจที่จะมาลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.เช่นกัน ด้วยสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นมาตั้งแต่รุ่นพ่อคือ พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ อดีต ผบช.น. ผ่านการดีลประสานงานจาก “บิ๊กป้อม” รองนายกฯและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้มากบารมีในรัฐบาล
จนเชื่อกันว่า “ชัชชาติ” จะถอนตัวเพื่อกลับพรรคเพื่อไทยในที่สุด แต่ก็ต้องหาเหตุผล “หล่อๆ” ให้ได้เสียก่อน ระหว่างนี้ก็ปล่อยให้ปฏิเสธคอเป็นเอ็นไปก่อน
แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่า หาก “ชัชชาติ” ตัดสินใจอย่างที่ว่าไปจริง ก็คงเป็นได้แค่ “ตัวขาย” ไว้เรียกคะแนนให้กับพรรคเท่านั้น เพราะถือว่าไม่ใช่ “เลือดแท้”
และอย่างที่ว่ามาว่า เมื่อมีการปัดฝุ่น “กงสีชินวัตร” แล้ว ก็คงไม่มีทางประเคนให้ “คนนอก” อย่างแน่นอน
ประกอบกับมีสัญญาณ “เอาจริง” จากเจ้าของพรรคตัวจริง ในการทำ “กิจการในครัวเรือน” มากกว่าการเป็น “บริษัทมหาชน”
ส่วน “เลือดแท้” ที่จะเข้ามานั้น ก็คงต้องตัดทิ้ง “สายตรง” ทั้ง “คุณชายโอ๊ค” ที่หากต้องการเล่นการเมืองจริง คงเข้ามาตั้งนานแล้ว เช่นเดียวกับน้องทั้ง “เอม-พินทองทา” หรือ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ที่วันนี้ทุ่มเทกับการทำหน้าที่คุณแม่มากกว่า
มิพักต้องพูดถึง “พ่อ-ลูก” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามี “เจ๊แดง” ที่คงพอแล้วกับการเมือง แม้ศรีภรรยาจะผลักดันเพียงใด แต่ “สมชาย” ก็ขอกอดเกียรติภูมิ “นายกฯ 3 เดือน ที่ไม่เคยเข้าทำเนียบฯ” ไว้เท่านั้น ขณะที่ลูกชายอย่าง “อาจารย์เชน” ผศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ที่เคยโยนชื่อออกมาหลายหน ก็ไร้เสียงตอบรับจาก “พี่ษิณ”
สำรวจตรวจสอบคนในเครือข่าย “ชิน-ดา-วงศ์” วันนี้แทบหมดตัวเลือก
ที่ใกล้เคียง เห็นจะมีเพียง “เขยใหญ่” ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามี “คุณแม่เอม” ที่พอกล้อมแกล้มว่าเป็น “เลือดแท้” ได้มากที่สุด และยังโดดเด่นกว่า “เขยรอง” ปิฎก สุขสวัสดิ์ ที่มีดีกรีนักบิน แต่ยังห่างไกลความเข้าใจธุรกิจการเมือง
แม้ว่าศรีภรรยาของ “เสี่ยพงศ์” อย่าง “เอม-พินทองทา” เพิ่งโพสต์ถึงข่าวกางแผนดัน “คุณสา” เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตชิงนายกฯ ในอนาคตว่า รู้ดีกว่าคนเป็นเมียเสียอีก
แต่ก็เชื่อว่า เป็นการปฏิเสธแก้เกี้ยวไปก่อน ด้วยจังหวะเวลาในการเปิดตัว “คุณสา” ยังไม่ได้ หากออกตัวแรง ก็เท่ากับจะกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” บอบช้ำก่อนได้ใช้งานจริง
ด้วยสัญญาณการขยับของ “คุณแม่อ้อ” ที่คล้ายกับส่งซิกว่า “เอาจริง” ก็ขอฟันธงล่วงหน้าว่า หากมีปี่กลองการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยก็ไม่พ้นจัดทัพใหม่สู้ศึกอีกครั้ง
ถึงเวลานั้นหัวหน้าพรรค ก็น่าจะยังมีนิกเนมว่า “เสี่ยพง” แต่คงไม่ใช่ “เสี่ยพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” คนเดิม
แต่เป็น “เสี่ยพงศ์” ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เขยใหญ่แห่งบ้านชินวัตร ที่จะมาสืบทอดกิจการ “กงสีตระกูลชินฯ” อย่างแน่นอน
แปะข้างฝาไว้ได้เลย.