1.ผบ.ตร.แถลงคดี “น้องชมพู่” หลักฐานยังไม่พอจับคนร้าย ด้าน “ลุงพล” ข้องใจ ตร.ระบุช่วงเวลาน้องชมพู่หายตัวตรงกับเวลาตนออกจากบ้าน!
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้นำทีมตำรวจที่เกี่ยวข้อง แถลงความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ น้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ ที่หายไปจากบ้านพัก ก่อนพบเป็นศพบนภูเหล็กไฟ ต.กกตูม อ.ดงหวง จ.มุกดาหาร ว่า คดีนี้ตำรวจได้สอบปากคำบุคคล 384 ปาก นำเข้าสำนวน 124 ปาก ผู้เชี่ยวชาญ 13 ปาก วัตถุพยาน 154 ชิ้น สำนวนการสอบสวนการ 918 หน้า ยืนยันว่า น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟซึ่งเป็นจุดพบศพได้ด้วยตนเอง จะต้องมีใครบางคนที่รู้จักกัน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เป็นผู้พาขึ้นไป โดยผู้ที่พาขึ้นไปจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะต้องมีความผิดฐาน “พรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต” และมีความผิดในข้อหาซ่อนเร้น เคลื่อนย้าย ทำลาย และอำพรางศพ
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า แม้ตำรวจจะพยายามอย่างเต็มที่ในการสืบสวนสอบสวนตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับใครได้ วันนี้ยังไม่สามารถตอบประชาชนได้ว่าใครเป็นคนร้าย แต่ยืนยันว่า การสืบสวนยังไม่ยุติ คดีนี้มีอายุความ 20 ปี แม้ตามระเบียบ ตร.ภายในปีนี้ หากไม่มีพยานหลักฐานดำเนินคดีกับใครได้ ก็ต้องมีการส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ แต่ไม่ใช่เป็นการเลิก การสืบสวนยังดำเนินการต่อไป
ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า “เราเชื่อว่า น้องชมพู่ ไม่ได้เดินขึ้นไปเอง อาจมีใครบางคนที่รู้จักกัน กระทำการใดๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งคนนั้นจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ เราไม่ได้ดูหลักฐานแค่พอจับ แต่เรามองไปถึงว่ามีหลักฐานพอฟ้องให้ศาลลงโทษจำเลย ฝากไปถึงตัวคนร้าย ขอให้ท่านนอนเครียดต่อไป เพราะตำรวจยังคงสืบสวนอยู่ ยืนยันว่า เราไม่เลิก เราจะทำความจริงให้ปรากฏให้ได้ ภายใต้กรอบของกฎหมาย”
เมื่อถามว่า นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล เป็นผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้หรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ตามพยานหลักฐาน ตำรวจยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ใครเป็นผู้ก่อเหตุในคดีนี้ และยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลใด ดังนั้นทุกคนถือเป็นผู้บริสุทธิ์หมด ส่วนที่มีการระบุว่า นายไชย์พล เป็นจำเลยสังคม ต้องถามกลับไปว่า ใครเป็นคนกำหนดให้นายไชย์พล เป็นจำเลยสังคม
พล.ต.อ.สุวัฒน์ เผยด้วยว่า ในการสืบสวนมีสมมติฐาน 3 ข้อ คือ ผู้ก่อเหตุต้องเป็นคนใกล้ชิดกับน้องชมพู่ หรือน้องชมพู่ถูกบังคับพาตัวไป หรือเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง นอกจากนี้ ยังมั่นใจว่า ผู้ก่อเหตุต้องมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่ รู้จักภูเขาที่พบศพอย่างดี ส่วนแรงจูงใจในการก่อเหตุ ตำรวจคงต้องสอบสวนขยายผลต่อทั้งประเด็นแรงจูงใจในเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ หรือความขัดแย้งของบุคคลใกล้ชิดกับน้องชมพู่ ในการสืบสวนเราคิดถึงหลักลอจิกธรรมดา วันเวลา ที่เด็กหาย เราต้องดูว่าใครเข้าถึงตรงนั้นได้บ้าง เพราะปกติน้องไม่ไปไหนกับใครที่ไม่รู้จัก ซึ่งบุคคลที่อยู่กับน้องเป็นคนสุดท้าย ประมาณ 10-11 คน เราเจอครบหมดแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจมีข้อสงสัยหรือบุคคลต้องสงสัยอยู่ในใจหรือไม่ ผบ.ตร กล่าวว่า ยอมรับว่า มี แต่คงไม่สามารถเปิดเผยได้ ยอมรับว่า คดีนี้เป็นที่สนใจของสังคม จึงทำให้การสืบสวนคดีทำได้ยาก เพราะมีกลุ่มบุคคลจำนวนมากเข้าไปเกี่ยวข้องในพื้นที่ แต่ย้ำว่า ตำรวจจะยังคงสืบสวนและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้ต่อไป
ส่วนผลการตรวจสอบเส้นผมที่พบในจุดเกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐานได้นำเส้นผมดังกล่าวไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยยืนยันได้ว่า นอกจากเส้นผมของน้องชมพู่แล้ว ยังพบเส้นผมของบุคคลอื่นในจุดเกิดเหตุ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลทางฝั่งของแม่น้องชมพู่ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของบุคคลใด
ด้าน พ.ต.อ.วาที อัศวุตมางกุร หัวหน้ากลุ่มงานตรวจเลือด ชีวเคมี และเขม่าดินปืน สถาบันนิติเวชวิทยา กล่าวว่า คดีนี้มีการส่งตัวอย่างวัตถุพยาน 257 รายการ มาตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งมีการตรวจดีเอ็นเอแล้วทั้งหมด การตรวจเส้นผมจากที่เกิดเหตุ ไม่พบรากผม จึงใช้วิธีตรวจหาไมโทคอนเดรียดีเอ็นเอได้อย่างเดียว ผลที่ออกมาสามารถยืนยันความสัมพันธ์ทางสายของมารดาเพียงอย่างเดียว แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของบุคคลใด
ทั้งนี้ ระหว่างแถลงข่าว มีการฉายวิดีทัศน์ สรุปว่า น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนจุดพบศพบนภูเหล็กไฟได้ด้วยตนเอง โดยมีเหตุผล ดังนี้ 1.เส้นทางยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง 2.พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไป ไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ 3.ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่า เด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น 4.กรณีศึกษาการหลงป่า ของนางทิน เชื้อคมตา ชาวบ้านกกตูม ชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว
5.แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้ 6.สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพู ยืนยันว่า น้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้ 7.พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่า เป็นการกระทำของบุคคลอื่น 8.นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมา น้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง
สำหรับวิดีทัศน์ชุดที่ 2 และ 3 เป็นการรวบรวมวัตถุพยานต่างๆ ในคดี และผลการชันสูตรศพโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีการจำลองและการทดสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการตรวจสอบทางด้านกีฏวิทยา (แมลง) เกี่ยวกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ โดยผลการชันสูตรพอจะระบุได้ว่า น้องชมพู่ เสียชีวิตในช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. ของวันที่ 12 พ.ค.จนถึงช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.ของวันที่ 13 พ.ค. และแพทย์ ยังระบุอีกว่า ไม่พบร่องรอยบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต และไม่พบร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่จากการสอบสวน แพทย์ผู้ชันสูตรฯ ให้ความเห็นว่า น้องชมพู่ อาจเสียชีวิตจากการขาดน้ำและอาหาร
ขณะที่นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล พร้อมนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น และนายกฤษฏา โลหิตดี หรือทนายโนบิ พร้อมหมอปลา ได้เดินทางมาฟังการแถลงข่าวด้วย รวมทั้งนั่งจดประเด็นที่เจ้าหน้าที่แถลง โดยเฉพาะเรื่องช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไปเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563 ช่วงเวลาประมาณ 09.49-10.11 น. ซึ่งลุงพลกล่าวภายหลังในลักษณะไม่ค่อยพอใจที่ตำรวจระบุว่า น้องชมพู่หายไปในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตนเคยให้การว่า ตนเดินทางออกจากบ้านในวันนั้น จึงอยากถามว่า ตำรวจเอาหลักฐานอะไรมาระบุว่า น้องชมพู่หายตัวไปในช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตาม ไม่อยากกังวลใจอะไรมากเพราะผลการตรวจดีเอ็นเอ ตรงกับผู้หญิงฝ่ายแม่เท่านั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับตนอยู่แล้ว
ด้านนางสมพร กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกกังวล หลังจากตำรวจแถลงเรื่องผลดีเอ็นเอเส้นผมที่พบใกล้ศพน้องชมพู่ว่า เป็นญาติทางฝั่งแม่ พร้อมระบุว่า ในบรรดาพี่น้อง 5 คน ตัวเองมั่นใจว่าสัมผัสและยุ่งเกี่ยวกับน้องชมพู่ 2 วัน ก่อนที่น้องจะหายตัว โดยตัวเองอาบน้ำให้น้องชมพู่ แล้ววันที่ขึ้นเขาภูเหล็กไฟไปค้นหา ก็ไม่มีญาติพี่น้องทางฝั่งแม่ขึ้นไปด้วย
2.ไล่ออก-ดำเนินคดี 4 ครูทำร้ายเด็กอนุบาล ด้านผู้บริหาร รร.สารสาสน์ฯ เสียใจ-พร้อมเยียวยาคืนค่าเทอมปี ’63!
ความคืบหน้ากรณีกลุ่มผู้ปกครอง นำโดยนายชาญวิทย์ น้อยสุขยิ่ง พ่อของน้องเสือ อายุ 3 ขวบ 8 เดือน นักเรียนชั้นอนุบาล 1 เข้าแจ้งความที่ สภ.ชัยพฤกษ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.อรอุมา ปลอดโปร่ง หรือครูจุ๋ม ครูโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ อ.ปากเกร็ด ข้อหาทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนหลายคน รวมทั้งแจ้งความดำเนินคดีกับพี่เลี้ยงผู้ชายที่ทำร้ายน้องเสือด้วย หลังจากนั้น ได้มีผู้ปกครองเด็กอีกหลายราย ทยอยเข้าแจ้งความดำเนินคดีครูจุ๋มเช่นกัน เนื่องจากมีการทำร้ายเด็กหลายคนหลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้ยังมีกรณีนายมาร์วิน ลิวานัก โอเรโฮลา สัญชาติฟิลิปปินส์ ครูโรงเรียนสารสาสน์ฯ ทำร้ายร่างกายเด็กอนุบาลเช่นกันนั้น
ตำรวจตรวจสอบพบว่า นายมาร์วินเดินทางเข้าไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 26 ม.ค. จากนั้นได้ยื่นเอกสารขออยู่ต่อถึง 26 ก.ย. เนื่องจากไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้จากสถานการณ์โควิด-19 โดยขออยู่ต่อถึงวันที่ 26 ต.ค. เรื่องอยู่ระหว่างรออนุมัติ และได้มาสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ เริ่มงานเมื่อ 16 ก.ค. ได้รับค่าจ้างเดือนละ 2 หมื่นบาท โดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ส่วนทางโรงเรียนแจ้งว่า นายมาร์วินอยู่ระหว่างทดลองงาน จึงไม่มีสัญญาว่าจ้าง
ซึ่งนายมาร์วินได้เข้ามอบกับตำรวจเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ยอมรับว่า เป็นคนในคลิปที่ทำร้ายเด็กจริง และทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานจริง และใช้วีซ่าผิดประเภท จึงดำเนินการตามกฎหมายและส่งตัวต่อให้ สภ.ชัยพฤกษ์ ดำเนินคดีต่อไป
พ.ต.ท.ฐิติวัฒน์ ฤชานุกูล รอง ผกก.ตม.จว.นนทบุรี เผยว่า “เบื้องต้นจากการเข้าตรวจสอบครูต่างชาติที่โรงเรียนสารสาสน์ฯ พบว่า มีครูต่างชาติ 76 คน เลิกจ้างไป 2 ราย เหลือ 74 คน เป็นชาวฟิลิปปินส์ 65 คน ที่เหลือเป็นชาวเกาหลีใต้ รัสเซีย ไอร์แลนด์ ปากีสถาน โคลอมเบีย แอฟริกาใช้ อียิปต์ และออสเตรเลีย ประเทศละ 1 คน โดยขอวีซ่าประเภทครูสอนภาษาอังกฤษ มีเวิร์กเพอร์มิตครบทุกคน ส่วนนายมาร์วินไม่สามารถทำงานได้ เจ้าหน้าที่ ตม.จึงตั้งข้อกล่าวหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จึงส่งตัวให้ สภ.ชัยพฤกษ์ ดำเนินการต่อไป”
ซึ่งในเวลาต่อมา เมื่อตำรวจนำตัวนายมาร์วินส่งศาลแขวงนนทบุรี ข้อหาทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาปรับ 1 หมื่นบาท แต่จำเลยสารภาพ จึงลดดทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 5,000 บาท ทั้งนี้ หลังนายมาร์วินจ่ายค่าปรับ ตำรวจได้คุมตัวกลับไปสอบต่อ เพื่อแจ้งข้อหาผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต ซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่น แต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ตามกฎหมายอาญาอีก 1 คดี
ด้านนายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เผยว่า “โรงเรียนในเครือสารสาสน์ฯ ทั่วประเทศมี 42 แห่ง สัปดาห์ที่ผ่านมา สช.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองว่า โรงเรียนในเครือสารสาสน์ฯ 34 แห่งมีปัญหา เช่น การบูลลี่ การจัดการเรียนการสอนของครู การลงโทษนักเรียน และการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ซึ่ง สช.จะตั้งคณะทำงานไปตรวจสอบโรงเรียนทุกแห่ง เพื่อจัดระเบียบโรงเรียนเหล่านี้ต่อไป”
นายอรรถพล กล่าวด้วยว่า จากเหตุการณ์ครูจุ๋มทำร้ายเด็ก พบว่า ผู้ก่อเหตุจบ ม.6 ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู แต่สามารถมาสมัครเป็นครูพี่เลี้ยงได้ เพราะครูพี่เลี้ยงก็เท่ากับพี่เลี้ยงเด็ก แต่โรงเรียนต้องคัดกรองและดูพฤติกรรมก่อนรับเข้าทำงาน เพราะหน้าที่ของครูพี่เลี้ยงคือช่วยเหลือครู ไม่สามารถทำเกินหน้าที่ได้ หากพี่เลี้ยงทำเกินหน้าที่ โรงเรียนต้องรับผิดชอบด้วย เพราะครูเป็นวิชาชีพควบคุม
ทั้งนี้ หลังเกิดกรณีครูหลายคนทำร้ายเด็ก มีรายงานว่า ทางโรงเรียนสารสาสน์ฯ ได้ให้ครูทั้ง 4 คนที่ปรากฏภาพในคลิปซึ่งมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ทำร้ายเด็กออกจากโรงเรียนทันที โดยมีทั้งครูประจำชั้น ครูชาวฟิลิปปินส์ ครูศิลปะ และครูจุ๋ม
วันต่อมา (29 ก.ย.) น.ส.อรอุมา หรือครูจุ๋ม ได้เข้าพบตำรวจ สภ.ชัยพฤกษ์ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากรณีทำร้ายเด็ก ด้าน พล.ต.ต.เอกภพ ประสิทธิ์วัฒนชัย รอง ผบช.ภ.1 เผยว่า เบื้องต้นพบครูจุ๋มกระทำความผิด 2 ข้อหา คือ ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และกระทำหรือละเว้นการกระทำที่ก่อให้เกิดการทารุณต่อเด็ก ส่วนข้อหาอื่นๆ ถ้าตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วพบ จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมทั้งครูผู้กระทำ และครูที่เห็นเหตุการณ์แล้วไม่ห้าม หรือยับยั้งให้เกิดการกระทำแบบนี้
ด้านนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการให้นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษผู้บริหารโรงเรียน ที่นำคนไม่จบครูมาดูแลนักเรียน โดยจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่มีมวยล้มแน่นอน พร้อมให้เลขาธิการ กช.ดูเรื่องบุคคลที่สอนนักเรียน มีใบอนุญาตหรือไม่ พร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษโรงเรียนที่จ้างครูต่างชาติที่เข้าไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว ไม่มีใบอนุญาตการสอน ไม่มีใบอนุญาตทำงาน
ต่อมา วันที่ 30 ก.ย. นางกนกวรรณได้หารือกับผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริหารโรงเรียนสารสาสน์ฯ สรุปว่า ทางโรงเรียนได้ทำบันทึกข้อตกลงกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในการดูแลเยียวยาผู้ปกครองนักเรียน ทั้งที่ประสงค์จะเรียนต่อในโรงเรียน และที่ประสงค์จะย้ายบุตรหลานไปเรียนต่อที่อื่น เช่น ห้องเรียนที่เกิดเหตุ ทางโรงเรียนพร้อมคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่นปีการศึกษา 2563 ให้กับนักเรียนที่อยู่ในห้องนั้น, ทางโรงเรียนจะเร่งติดกล้องวงจรปิดตามมุมต่างๆ ให้ครบ และให้มีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่ผู้ปกครองสามารถนั่งดูได้ที่โรงอาหาร, จัดทำป้ายชื่อครู แสดงภาพถ่าย เลขที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของครูทุกคนหน้าห้องเรียนทุกห้อง ฯลฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายพิบูลย์ ยงค์กมล ประธานผู้อำนวยการในเครือโรงเรียนสารสาสน์ฯ ได้ให้สัมภาษณ์รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 ถึงข้อเรียกร้องให้ปิดโรงเรียนว่ “คนที่คิดแบบนี้ พูดแบบนี้ พูดแต่เอามัน เด็ก 3,800 คน จะไปเรียนที่ไหน ความดีที่เราทำไว้มีทั้งหมด มีรูนิดเดียวที่บกพร่อง เอามาตี จะมาล้มล้างความดีทั้งหมด มันคิดเป็นไหม ปิดผมก็ไม่กลัว ผมขายที่กำไรดีกว่าทำโรงเรียนอีก ผมไม่ใช่ไม่พอใจ เป็นสิทธิของเขาที่จะไป แต่ไปแบบอารยชนหน่อย”
เมื่อถามถึงการเยียวยาเด็กนักเรียน นายพิบูลย์ กล่าวว่า “เรื่องเงิน โรงเรียนก็ทำให้ได้ แต่ต้องเป็นความจริง ไม่ใช่จู่ๆ ฉันกระทบกระเทือนจิตใจ เรียก 2 ล้านบาท ไม่ใช่ลูกคุณนอนละเมอ แล้วเอามาเป็นเรื่องใหญ่เลย ขอฝากไปที่ผู้ปกครองที่ออกมาเรียกร้องโน่นนี่ ทำไมก่อนจะเข้าเรียน ไม่ถามดูว่ามีอะไรถูกใจไหม ถ้าไม่ถูกใจแล้วมาเรียนทำไม ก็ไปเรียนที่อื่น มีตัวให้เลือกตั้งเยอะ รู้ว่าแพง จะมาเรียนทำไม ไม่ไปเรียนโรงเรียนถูกๆ”
ทั้งนี้ คำให้สัมภาษณ์ของนายพิบูลย์ ได้ถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะกรณีที่พูดเหมือนท้าทายไม่กลัวการปิดโรงเรียน เพราะขายที่ยังกำไรดีกว่าการทำโรงเรียนอีก
อย่างไรก็ตาม ภายหลัง นายพิสุทธิ์ ยงค์กมล ผู้แทนผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนสารสาสน์ฯ ซึ่งเป็นลูกชายนายพิบูลย์ ได้กล่าวในนามตัวแทนของโรงเรียนในเครือสารสาสน์ฯ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ครูทำร้ายเด็ก ยืนยันเกิดจากความผิดพลาด และไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ พร้อมยืนยัน โรงเรียนมีนโยบายต่อต้านการบูลลี่ การทำร้ายร่างกาย แต่บางทีอาจผิดพลาดที่ตัวบุคคล ซึ่งขอยอมรับ พร้อมย้ำว่า นายพิบูลย์ และนางเพ็ญศรี ยงค์กมล ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสารสาสน์ฯ มีเจตนารมณ์ในการสร้างโรงเรียนด้วยความรักในวิชาชีพครู และเราเป็นครูที่รักเด็ก นายพิสุทธิ์ ยังบอกด้วยว่า การให้สัมภาษณ์ของนายพิบูลย์เมื่อวันที่ 29 ก.ย. เนื่องจากสื่อสารผ่านโทรศัพท์ด้วยเสียงที่ไม่ชัด ทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาด ซึ่งนายพิบูลย์ไม่มีเจตนาตามที่หลายคนเข้าใจ นายพิบูลย์ยืนยันจะให้ความช่วยเหลือ ให้ความยุติธรรมกับนักเรียน เพราะนายพิบูลย์เป็นครูมาตลอด 70 ปี
3.สลด! หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ฯ สวนสัตว์สงขลา ก่อเหตุยิง ผอ.องค์การสวนสัตว์ฯ ดับ ก่อนฆ่าตัวตายคาบ้านพัก คาดเครียดถูกย้ายด่วน!
วันนี้ (3 ต.ค.) ได้เกิดเหตุ นายสุริยา แสงพงค์ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ถูกเจ้าหน้าที่สวนสัตว์สงขลารายหนึ่ง ใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิต ระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบกรณี “ลูกเก้งเผือก” ขยายพันธุ์จากเก้งที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่หายไปจากสวนสัตว์สงขลา และได้มีการสั่งย้ายผู้อำนวยการสวนสัตว์สงขลา และเจ้าหน้าที่รวม 4 คนก่อนหน้านี้
รายงานแจ้งว่า ลูกเก้งเผือกสายพันธุ์พระราชทานนั้น ได้หายไปเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา หลังจากนั้นผู้บริหารสวนสัตว์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายใน โดยตั้งประเด็นไว้ 3 เรื่อง คือ 1.ถูกสัตว์อื่นมาทำร้ายเช่น งู 2.ลูกเก้งเผือกหลุดออกไปจากส่วนจัดแสดง และ 3.อาจจะถูกขโมยออกไปจากสวนสัตว์ ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า สาเหตุการหายไปของลูกเก้งเผือก น่าจะเป็นเพราะถูกขโมยออกไปจากสวนสัตว์ หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป อย่างไรก็ตาม นายเฉลิมวุฒิ เกษตรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์สงขลา ชี้แจงว่า ลูกเก้งเผือก ไม่ได้หายไป แต่ถูกงูเหลือมกินเข้าไป มีรูปถ่ายหลักฐานยืนยันได้ สัตวแพทย์พิสูจน์แล้ว
ด้านนายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการ (บอร์ด) องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ ได้สั่งการให้ฝ่ายบริหารองค์การสวนสัตว์ รีบเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้โดยด่วน โดยมอบหมายให้นายสุริยา และนายอภิเดช สิงหเสนี รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ลงพื้นที่ด้วยตนเอง เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา หลังพบข้อมูลขัดแย้ง ซึ่งเดิมอ้างว่าหาย แต่ต่อมาอ้างว่ามีงูเหลือมกิน
พร้อมกันนี้ นายสุริยาได้ออกคำสั่งให้นายเฉลิมวุฒิ ไปเป็นรักษาการผู้อำนวยการสวนสัตว์ดุสิต พร้อมเจ้าหน้าที่อีก 3 คน คือ นายภูวดล สุวรรณะ หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ วิจัยและสุขภาพสัตว์ สวนสัตว์สงขลา ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญสวนสัตว์ สังกัดสำนักอนุรักษ์ และวิจัย, นายอุทัย พูลยรัตน์ หัวหน้าโภชนาการสัตว์ รักษาการหัวหน้าฝ่ายบำรุงสัตว์ สวนสัตว์สงขลา ไปเป็นหัวหน้างานบำรุงสัตว์เลื้อยคลาน ฝ่ายบำรุงสัตว์ สังกัดสวนสัตว์ดุสิต และนายพิเชษฐ์ ทัปนวัชร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสวนสัตว์สงขลา ไปเป็นรักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสวนสัตว์ดุสิต มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ผู้ที่ก่อเหตุยิงนายสุริยา คือ นายภูวดล สุวรรณะ หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ วิจัยและสุขภาพสัตว์ สวนสัตว์สงขลา และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกสั่งย้ายออกนอกพื้นที่ ได้ใช้ปืนพกสั้นกระบอกเดียวกัน ยิงตัวเองเสียชีวิตภายในบ้านพัก ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่สวนสัตว์สงขลา
ด้าน ร.ต.ต.สมยศ ล้วนมณี ซึ่งเป็นญาติสนิทของนายภูวดล คาดว่า สาเหตุที่นายภูวดลก่อเหตุและยิงตัวเองตายตาม น่าจะมาจากความเครียดที่ถูกย้าย โดยบอกว่า เมื่อเช้านี้นายภูวดลได้บอกภรรยาว่า ดูแลลูก 2 คนด้วย ซึ่งปกตินายภูวดลเป็นคนนิสัยดี และรักลูกน้องมาก
ขณะที่นายวรรัญญู ล้วนมณี ญาติสนิทอีกคนที่เคยอยู่กับนายภูวดลที่บ้านพักหลังนี้ บอกว่า สาเหตุน่าจะมาจากความเครียดที่ถูกสั่งย้ายด่วนเมื่อช่วงเย็นของวานนี้ (2 ต.ค.) โดยให้ย้ายไปภายในวันที่ 5 ต.ค.นี้ แต่ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เก้งเผือกสายพันธุ์พระราชทานหายไปหรือไม่
ส่วนนางชนิตา มาละวรรรณโณ ญาติอีกคนบอกว่า นายภูวดลได้เข้าไปยิงตัวตายในห้องนอนของลูกชายที่รักมาก เพราะเป็นลูกชายคนแรก พร้อมเขียนจดหมายสั่งเสียบอกที่เก็บสิ่งของต่างๆ และวางเงินไว้ 3,000 บาท โดยก่อนยิงตัวตายได้เปิดเพลงที่ชอบฟังด้วย และใช้อาวุธปืนยิงตัวตายจำนวน 1 นัด
4.ศบค.ต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน พร้อมผ่อนปรนคน 6 กลุ่มเข้าประเทศ ด้าน “ทักษิณ” ติดโควิด-19 แต่หายแล้ว!
เมื่อวันที่ 28 ก.ย. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เผยผลประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธานว่า ได้รับทราบการผ่อนปรนมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ที่ ศบค.ชุดเล็กหารือและแจ้งให้ทราบคือ อนุญาตให้บุคคลเดินทางเข้าไทยได้ 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 นักกีฬาต่างชาติ ที่จะเข้ามาแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 6-16 ต.ค. โดยจะมีการกักกันโรค 14 วันที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีการกักตัวนักกีฬาก่อนหน้านี้แล้ว
กลุ่มที่ 2 การกักตัวนักบินและลูกเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในเที่ยวบินพิเศษขากลับประเทศ ซึ่งมีนักบินและลูกเรือ 340 ราย จะเข้าสถานกักกันโรคในไทย เนื่องจากได้ทำการบินในสหรัฐฯ โดย ศบค.ชุดใหญ่ได้อนุมัติและรับทราบหลักการ
กลุ่มที่ 3 ผู้ถือวีซ่าประเภทอยู่ชั่วคราวประเภทต่างๆ เดินทางเข้าไทยหรือนักธุรกิจที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน เพื่อเอื้อประโยชน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ต้องมีสำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือนติดต่อกัน ในจำนวนเทียบเป็นเงินไทยไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท
กลุ่มที่ 4 กำหนดเงื่อนไขผู้ขอวีซ่าแบบลองสเตย์ ตามที่ ครม.เห็นชอบในหลักการไปเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ผู้ที่จะเข้ามาจะต้องหนังสือตรวจลงตราประเภทนี้อยู่แล้ว โดยนายกฯ มอบหมายให้กระทรวงท่องเที่ยวฯ หารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเงื่อนไข โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ
กลุ่มที่ 5 อนุญาตให้ผู้ถือบัตรเอเปคการ์ด กลุ่มประเทศเอเปค ที่เป็นนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับใน 18 ประเทศต้นทางนับแสนรายที่ต้องการเดินทางเข้าไทย เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเลือกประเทศเสี่ยงต่ำ เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง เป็นต้น และต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรค
กลุ่มที่ 6 อนุญาตให้ผู้ต้องการพักในไทยระยะสั้นและยาว เดินทางมาไทยเป็นเวลา 60 วัน สามารถขอต่อได้อีก 30 วัน แต่จะต้องมีสำเนาบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือนติดต่อกัน ในจำนวนเทียบเป็นเงินไทยไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท
ด้าน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เผยว่า ที่ประชุม ศบค.ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายอายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานฉุกเฉินฯ ออกไปอีก 1 เดือน ตลอดเดือน ต.ค. พร้อมย้ำ เหตุผลที่ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน เนื่องจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ประกอบกับการแพร่ระบาดของประเทศเพื่อนบ้านยังน่ากลัวอยู่ และกฎหมายอื่นๆ ยังทำได้ไม่สุด จึงต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปก่อน ยืนยันว่า การต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองแต่อย่างใด เพราะไม่ได้มีการห้ามชุมนุม ซึ่งเรื่องการชุมนุมก็ไปว่ากันในกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก ปรากฏว่า ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดได้พุ่งเกิน 1 ล้านคนไปแล้วเมื่อวันที่ 27 ก.ย. โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด 209,453 ราย ซึ่งล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนางเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ก็ติดโควิด-19 เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหนีคดีอยู่ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ติดเชื้อโควิด-19 เช่นกัน ซึ่งในเวลาต่อมา นายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์บางสื่อ โดยยอมรับว่า ติดโควิด-19 จริงเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน แต่ขณะนี้รักษาตัวจนหายดีแล้ว พร้อมปฏิเสธข่าวที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว ติดโควิด-19 ว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
5.พท.เลือก กก.บห.ชุดใหม่ “สมพงษ์” นั่งหัวหน้าพรรคอีกสมัย ปัดข่าว “หญิงอ้อ” เข้าคุมเพื่อไทย!
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีแกนนำ, ส.ส., สมาชิกพรรค, ตัวแทนสาขาพรรค และอดีตรัฐมนตรีที่เคยสังกัดพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้งคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ลาออกจากประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคเมื่อเร็วๆ นี้ด้วย
ทั้งนี้ ผลการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ปรากฏว่า นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย โดยไม่มีใครเสนอชื่อแข่ง ได้รับเลือกด้วยคะแนน 376 เสียง จากผู้มีสิทธิลงคะแนน 413 เสียง ส่วนรองหัวหน้าพรรคมี 10 คน ประกอบด้วย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง, นายชูศักดิ์ ศิรินิล, นายเกรียง กัลป์ตินันท์, นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร, นายพิชัย นริพทะพันธุ์, นายสุทิน คลังแสง, นายไชยา พรหมา, พล.ต.อ.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด
ส่วนนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค แบบไร้คู่แข่ง รองเลขาธิการพรรค มี 5 คน ประกอบด้วย นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม, นายจิรวัฒร์ ศิริพานิชย์, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล, นายคุณากร ปรีชาชนะภัย และนายนพ ชีวานันท์
ขณะที่ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวณิชย์ เป็นเหรัญญิคพรรค และนานจักรพงษ์ แสงมณี เป็นนายทะเบียนสมาชิกพรรค ด้าน น.ส.อรุณี กาสยานนท์ เป็นโฆษกพรรค ส่วนกรรมการบริหารพรรคมี 4 คน คือ นายชวลิต วิชยสุทธิ์, นายสรวงศ์ เทียนทอง,นายองอาจ วงษ์ประยูร และนายพรเทพ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์
มีรายงานว่า กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ 24 คนนี้ ส่วนใหญ่มาจากสายของนายทักษิณ ชินวัตร ผ่านแกนนำสายตรงหลายคน ขณะที่อีกส่วนมาจากกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวนายทักษิณ โดยนายสมพงษ์เป็นผู้อาวุโส และคุ้นเคยกับตระกูลชินวัตร ในฐานะ ส.ส.เชียงใหม่ ขณะที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคคนใหม่ เป็น ส.ส.นครราชสีมา เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และได้รับการผลักดันจากนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล แกนนำคนสำคัญของพรรค เช่นเดียวกับนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่เป็นรองหัวหน้าพรรค ก็มีความใกล้ชิดกับนายพงษ์ศักดิ์เช่นกัน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถามนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัยว่า คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (อดีตภริยานายทักษิณ) ได้ให้คำแนะนำอะไรบ้างหรือไม่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า คุณหญิงพจมานไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพรรค แต่อาจมีสมาชิกไปหารือกับท่าน ตรงนี้เป็นเรื่องส่วนตัว คงไม่ไปก้าวล่วง ส่วนกระแสข่าวที่ว่า จะเข้ามาคุมพรรค พท.นั้น นายสมพงษ์ยืนยันว่า เป็นเพียงการลือกันไป เพราะงานท่านก็มีอยู่เยอะ พรรคเรางานก็ยุ่ง ส่วนกระแสข่าวที่ว่า นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามี น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ จะมาร่วมงานการเมืองกับพรรค พท.นั้น ตนยังไม่เห็นสัญญาณใดๆ
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์ของพรรค จะมาร่วมงานด้านใดบ้าง นายสมพงษ์ กล่าวว่า คุณหญิงสุดารัตน์ยังเป็นสมาชิกพรรค และเป็นประธานสรรหาผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคอยู่ เพียงแต่ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเท่านั้น