น่าจะเป็นการเตรียมการของทรัมป์ต้องการสร้างความปั่นป่วน เพื่อกลบความผิดพลาดในการบริหารของเขา โดยเฉพาะที่ทำให้คนตายไปกว่า 2 แสนจากโควิด-19
ก็เหมือนสภาฯ ของเรา ที่มีการประท้วงเพื่อขัดคอหรือขัดจังหวะและทำให้ผู้อภิปรายจะพูดไม่ได้ใจความปะติดปะต่อหรือไม่มีสมาธิ
โดยเฉพาะสำหรับโจ ไบเดน ซึ่งเคยเป็นโรคติดอ่างมาตลอด (แต่ได้พยายามรักษาด้วยตนเองจนหายขาด) และทรัมป์คงหวังว่าการโจมตีแบบบ้าคลั่ง (เหมือนสุนัขบ้า) อย่างที่เขามีนิสัยชอบก้าวร้าวเหยียดหยาม ถากถาง เยาะเย้ยตลอดชีวิต จะทำให้ไบเดนชะงัก และอาจพูดติดอ่างเสียบุคลิก และถ้าชะงักเมื่อใด ทรัมป์คงหวังจะทำให้ภาพของไบเดนเป็นคนแก่ที่งุ่มง่าม ดังสมญา Sleeping Jo ที่เขาจงใจตั้งให้ไบเดน
ตรงข้าม มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์ไปกินยาขยันมารึเปล่า จึงป่วนได้แทบทุกนาที (บีบีซีนับได้ 73 ครั้งที่พูดแทรก) ทั้งตะโกนใส่ผู้ดำเนินรายการ (ที่ต้องเตือนทรัมป์ไม่ให้พูดแทรกขัดคอตลอด; จนโจ ไบเดน ต้องหยุดพูด)
ทั้งๆ ที่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมจัดของทรัมป์ ถึงกับตั้งคำถามก่อนดีเบตว่า อยากให้มีการตรวจไบเดนว่า ได้เสพยาขยันก่อนดีเบตรึเปล่า (จะได้ไม่ง่วงหลับกลางดีเบต แบบโฆษณาขณะนี้ของทรัมป์ที่-ตกแต่งเทปทำให้เห็นโจ-ไม่สามารถตอบคำถามนักข่าวได้- เพราะมัวง่วงหลับ)
ไบเดน ดูจะตั้งหลักได้พอควร แม้จะถูกขัดคอตลอดทุกๆ ประโยค เพราะทีมเขาได้เตรียมตัวรับการป่วน ซึ่งเขาจะต้องไม่ตกใจถึงกับโกรธแล้วพูดติดอ่าง ซึ่งไบเดนยังครองสติได้ดีพอควร และสามารถนำเสนอนโยบายของเขาหรือตอบโต้อย่างสุภาพได้
ด้านเนื้อหาของการตอบโต้ เป็นไปตามที่ทั้งคู่ต่างได้เคยแสดงความเห็นมาก่อน เพียงแต่การต่อปากต่อคำของทรัมป์ ทำให้เนื้อหาดูเผ็ดร้อนดุเดือดเลือดพล่าน
มีบางประเด็นที่ต่อยอดจากการปะทะก่อนดีเบต เช่น ทรัมป์ออกมาปกป้องกลุ่ม NEO-NAZI (เมื่อคำถามจากคริส วอลเลซ ผู้ดำเนินรายการว่า ทรัมป์จะตำหนิกลุ่มหัวรุนแรงของขวาจัด White-Supremacist ที่สร้างความเกลียดชัง และการจลาจลที่เกิดขึ้นหรือไม่) ซึ่งทรัมป์ได้พูดถึงกลุ่ม Proud Boys (PB) และท่องคำขวัญของกลุ่มให้ Stand back+Stand by คือ (ท่ายืน) เตรียมพร้อมสำหรับการ (โจมตี) ว่า กลุ่มนี้ไม่ร้ายแรงอะไรเลย; ตรงข้ามกลุ่ม Antifa (ย่อมาจาก Anti-Fascist) ซ้ายจัดที่ก่อความรุนแรงจลาจลจากความเกลียดชัง และไบเดนกับพวกเดโมแครตหนุนหลังอยู่
รวมทั้งทรัมป์ยังเหมาว่า ไบเดนเป็นพวกสังคมนิยม-ซ้ายจัด คอยให้ท้ายเหล่าผู้ว่าการรัฐ (เดโมแครต) ที่ปล่อยให้มีการจลาจล (ต่อต้านเหยียดผิว) และไม่ยอมให้ทหารรักษาดินแดนเข้าไปปราบผู้ชุมนุม (อย่างสงบ)...และทรัมป์ได้ยกเลิกการทำ Sensitivity Training ในวงการตำรวจและทหาร (เพื่อให้รู้จักเอาใจเขาไปใส่ใจเรา-แม้ต่างสีผิว, เชื้อชาติ) เพราะทรัมป์บอกว่า ทำให้คน (ขาว) งงไปหมดต่างสงสัยว่า ทำไมต้องมา train ให้พวกเขา (ผิวขาว) ต้องเปลี่ยนความคิดและท่าทีมาเข้าใจเห็นใจมนุษย์คนอื่น
ทรัมป์กลบเกลื่อนเรื่องคนตายด้วยโควิดถึงกว่า 2 แสนว่า เขาสั่งห้ามเครื่องบินจากจีนเข้าประเทศทันการณ์ (ทั้งๆ ที่ช้ามาก) และเขาเป็นห่วงภาคธุรกิจที่จะต้องอดตายตกงานมหาศาลถ้ามีล็อกดาวน์-พร้อมขู่ว่า ไบเดนจะปิดประเทศ, ธุรกิจจะล่มสลาย ถ้าไบเดนชนะเลือกตั้ง
และแน่นอนที่ทรัมป์ย้ำพร้อมปลุกปั่นเสียงดังลั่นว่า เขาจะถูกโกงเลือกตั้งจากการลงคะแนนด้วยไปรษณีย์ ซึ่งคนที่รักและสนับสนุนเขาจะไม่ยอมให้มีการโกงเลือกตั้งเด็ดขาด
สัญญาณการเกิดการต่อสู้กลางถนนจากคนคลั่งบูชาทรัมป์ คงจะออกมาปฏิเสธผลคะแนน (ทางไปรษณีย์) ที่ให้กับไบเดน และเรื่องจะไปถึงศาลสูงให้ตัดสินการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยทรัมป์จะไม่ยอมออกมาจากทำเนียบขาวแน่นอน
ตลาดทุน Futures ทั่วโลกดิ่งลงทันทีหลังดีเบตจบลง เพราะโอกาสที่ไบเดนจะชนะเลือกตั้งมีสูงขึ้น ซึ่งในระยะสั้นไบเดนจะขึ้นภาษี Capital Gains Tax (กำไรจากค้าหุ้น)
สำหรับคะแนนโพลซีซีเอ็นหลังดีเบตไบเดนได้ 60% และทรัมป์ได้ 28% ทั้งๆ ที่ก่อนดีเบตอยู่ที่ 56% ต่อ 48%
น่าจะเป็นการเลือกตั้งที่วุ่นวายที่สุดของสหรัฐฯ